ตายยากขึ้นด้วย ‘อาวุธใหม่’ | อาหารสมอง

ตายยากขึ้นด้วย ‘อาวุธใหม่’ | อาหารสมอง

เมื่อย้อนกลับไปนึกถึงโควิด-19 เมื่อ 4-5 ปีก่อนแล้วก็อาจตกใจว่ามีสิ่งที่ฆ่ามันได้จริงๆ น้อยมาก แอลกอฮอล์ที่เราเอามาถูมือกันนั้น ถ้าไม่ถึง 60-70% แล้วก็ทำอะไรไม่ได้

น้ำต้องร้อนถึงกว่า 150 องศาฟาเรนไฮต์จึงจะฆ่าได้ ถูสบู่กับมือล้างอย่างหมดจดอย่างไรก็ทำได้เพียงล้างให้ไวรัสตัวนี้หลุดจากผิวลงท่อเท่านั้นแต่มันไม่ตาย น้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่เรียกว่า bleach เท่านั้นที่ฆ่าได้ แต่ก็ไม่สามารถพ่นหรือทาบนผิวหนังหรือบนอาหาร เพราะมันเป็นภัยต่อมนุษย์โดยเฉพาะหากกลืนเข้าไป 

เมื่อฆ่ามันได้ยาก มันจึงสามารถมีชีวิตอยู่บนผิวบางสิ่งได้หลายวัน ถ้าไวรัสตระกูลนี้หรือตัวอื่นระบาดอีกจะรับมืออย่างไร ประเด็นนี้อยู่ในใจของวงการแพทย์พอควร อย่างไรก็ดีในปัจจุบันพบคำตอบแล้วและกำลังเป็นกระแสในโลก

bleach เป็นสิ่งที่เรียกว่า disinfectant ซึ่งคือน้ำยาเคมี หรือน้ำยาสกัดสารธรรมชาติ ซึ่งฆ่าหรือหยุดการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์หรือจุลชีพ (สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมากที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า) เช่น แบคทีเรีย ไวรัส หรือฟังไจ (fungi) ซึ่งหมายถึงเห็ด เชื้อราหรือยีสต์ที่อยู่บนผิวของสิ่งไม่มีชีวิต น้ำยานี้จะทำลายผนังเซลล์ หรือขัดขวางการมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของเชื้อโรคเพื่อให้ตาย หรือขยายพันธุ์ต่อไม่ได้

disinfectant เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่มนุษย์กินไม่ได้ เพราะจะทำลายเนื้อเยื่อและอวัยวะภายในร่างกายจนอาจเสียชีวิตได้ เรารู้จักทั่วไปในรูปของน้ำยาล้างโถส้วม ล้างห้องน้ำ ใช้ในการทำความสะอาดพื้นที่โรงพยาบาล หรือสถานที่อื่นๆ ที่ต้องการความสะอาด เช่น โรงกรองน้ำ ครัว เป็นต้น องค์ประกอบของมันคือโซเดียมไฮโปคลอไรต์ (sodium hypochlorite สูตรเคมีคือ NaClO)

น้ำยาที่ใช้ตามบ้านมักมีส่วนผสมของมันอยู่ 10% มีกลิ่นฉุน สีเขียวอมเหลือง มีราคาพอควร และใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่มันสู้เชื้อโรคได้ในระดับหนึ่งเท่านั้นคือภายนอก ไม่อาจบริโภคได้เพื่อปราบโควิด-19 ดังที่ประธานาธิบดีทรัมป์เคยแนะนำ (หากตัวเองกินเข้าไปป่านนี้โลกคงสงบไม่ปั่นป่วนเเละน่าอยู่กว่านี้เป็นแน่)

 

 

 

ในช่วงเวลาที่โควิด-19 อาละวาด โลกก็พยายามค้นหายาฆ่าเชื้อโรคภายนอก หรือ disinfectant ที่มีประสิทธิภาพไม่เป็นภัยต่อมนุษย์ และสามารถเอามาพ่นจมูกผิวหนังเพื่อป้องกันหรือฆ่าเชื้อ โควิด-19 และก็ได้พบสารที่มีชื่อว่า hypochlorous acid (กรดไฮโปคลอรัส สูตรเคมีคือ HOCl) ซึ่งเป็นกรดชนิดอ่อน

ไฮโปคลอรัสแตกต่างจากโซเดียมไฮโปคลอไรต์ ซึ่งเป็นฐานเคมีของน้ำยา bleach ที่รู้จักกันดี ฟังดูมันอาจคล้ายกันเพราะมีคลอรีนซึ่งฆ่าเชื้อโรคปนอยู่ แต่มีพิษรุนแรงต่างกันมาก โดยมีลักษณะแตกต่างกันทางเคมี ไฮโปคลอรัสไม่ระคายผิวหนังหรือเนื้อเยื่อ 

โดยแท้จริงแล้วสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมผลิตไฮโปคลอรัสตามธรรมชาติเพื่อต่อสู้การติดเชื้อ หากเราถูกมีดบาดเป็นแผล เม็ดเลือดขาวซึ่งมีชื่อว่า neutrophils ก็จะวิ่งไปที่เกิดเหตุทันทีเพื่อ “จับ” สิ่งแปลกปลอมที่เข้ามา เมื่อ “จับ” ได้แล้วเซลล์ก็จะปล่อย biocides หรือสารฆ่าเชื้อแปลกปลอมซึ่งมีไฮโปคลอรัสเป็นสมาชิกอยู่ด้วยเข้าโจมตี เพื่อฆ่าเชื้อโรคโดยทำลายผนังเซลล์และทำลายส่วนของ DNA

ไฮโปคลอรัสในรูปแบบของสารที่สร้างขึ้นในห้องแล็บ ทำลายเชื้อโรคหลากหลายตั้งแต่ เชื้อรา ไวรัส แบคทีเรียเเละฟังไจ อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า bleach ซึ่งมีโซเดียมไฮโปคลอไรต์เป็นฐานไม่น้อยกว่า 100 เท่าและทำงานได้เร็วกว่าอย่างมาก ถึงแม้จะใช้อย่างมีความเข้มข้นน้อยกว่าก็ตาม

 

 

ไฮโปคลอรัสมิใช่สิ่งใหม่ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบก๊าซคลอรีนตั้งแต่ปี 2317 และในทศวรรษ 1800 ก็พบว่าเมื่อคลอรีนผสมน้ำก็จะสามารถฆ่าเชื้อโรคได้โดยเข้าใจว่าไฮโปคลอรัสคือสารสำคัญ ในปี 2433 นักวิทยาศาสตร์อังกฤษและฝรั่งเศสศึกษาพลังในการฆ่าเชื้อโรคของไฮโปคอลรัสที่เป็นของเหลว

ม้แต่ WHO (องค์การอนามัยโลก) ก็บรรจุไฮโปคลอรัสไว้ในรายการของผลิตภัณฑ์ยาจำเป็น นอกจากนี้มีการใช้ในภาคอุตสาหกรรมเเละโรงพยาบาลกันไม่น้อยโดยเฉพาะในการดูเเลเเผล เเม้กระทั่งการหยอดตา

ไฮโปคลอรัสเสื่อมสลายในธรรมชาติอย่างไม่ทิ้งขยะเป็นพิษไว้ ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ก่อนหน้ายุคของการค้นพบยาปฏิชีวนะในตอนต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งใช้การกินเข้าไปในร่างกายเพื่อทำลายเเบคทีเรียที่ไม่พึงปรารถนา ส่วนไฮโปคลอรัสก็ถูกใช้ภายนอกเพื่อฆ่าเชื้อโรค

คำถามสำคัญก็คือ เมื่อรู้จักคุณประโยชน์ของไฮโปคลอรัสมาเกือบ 200 ปีแล้ว เหตุใดจึงไม่มีการใช้กันอย่างกว้างขวางโดยใช้เป็นฐานเคมีของ disinfectant ทั้งหลายแทนโซเดียมไฮโปคลอไรท์ซึ่งใช้กันอยู่ในปัจจุบัน 

คำตอบก็คือมันมีจุดอ่อนคือมีความเสถียรต่ำอย่างมาก มันมีคุณภาพคงตัวในของเหลวที่มีค่า pH 4-6 (pH คือตัววัดระดับความเป็นกรด) เมื่อพบแสงสว่างหรืออากาศภายในเวลาไม่กี่นาที ไฮโปคลอรัสจะเริ่มเสื่อมทันทีจนกลายเป็นน้ำผสมเกลือ ซึ่งไม่สามารถทำหน้าที่ของ disinfectant

และหากเป็นของเหลวที่เข้มข้นด้วยไฮโปคลอรัส คือมีความเป็นกรดสูงขึ้น มันก็จะกลายตัวเป็นก๊าซคลอรีน การขาดความเสถียรในรูปเเบบของสินค้า จึงเป็นคำอธิบายว่าเหตุใดจึงไม่มีไฮโปคลอรัสใช้ในสินค้าทำความสะอาดในยุคเดิม

บัดนี้มีงานวิจัยที่ทำให้ไฮโปคลอรัสเป็นสินค้าที่มีความคงตัวขึ้นได้แล้ว ทั้งนี้เนื่องมาจากแรงกดดันของการระบาดของโควิด-19 โดยแท้ ในช่วงเวลาท้ายมีการใช้หมอกหรือละอองไฮโปคลอรัสพ่นใส่เสื้อผ้าเเละร่างกายกันบ้างก่อนเข้าอาคาร และต่อมาใช้ในครัวเเละโรงพยาบาลมากขึ้น

ในปัจจุบันในประเทศโลกตะวันตกมีสินค้าออกมามากมายที่ใช้ประโยชน์จากไฮโปคลอรัส บางบริษัทประกาศว่าสินค้ามีอายุถึง 2 ปี หากเก็บไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสมสินค้า ส่วนใหญ่คือน้ำยาเช็ดบนผิวเฟอร์นิเจอร์ที่เมื่อเช็ดไปแล้วใช้เวลาหลังจากนั้นเพียงหนึ่งนาทีก็ฆ่าเชื้อโรคได้ ต่างจากน้ำยาอื่นที่อาจใช้เวลาถึง 10 นาที

ปัญหาอีกอย่างก็คือ ไม่อาจเทน้ำยาผสมไฮโปคลอรัสเเบ่งลงในขวดย่อย โดยไม่ทำให้ประสิทธิภาพและอายุของการใช้งานลดลง ที่น่าสนใจก็คือ เครื่องผลิตไฮโปคลอรัสที่บ้านแบบกระเป๋าหิ้ว ใช้เวลา 8 นาทีโดยใช้น้ำส้มและเม็ดเกลือที่ขายจากบริษัทเป็นวัตถุดิบ

นับวันไฮโปคลอรัสจะมีบทบาทมากขึ้นในชีวิตของการต่อสู้เชื้อโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้บนร่างกายมนุษย์ ไม่ว่าในเรื่องเสริมความงาม ป้องกันเชื้อโรคโดยตรง ลดอาการและการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ ล้างตาเเละลดการอักเสบ ป้องกันการติดโรคของพืช ฯลฯ ไฮโปคลอรัสกำลังมาแรงในโลกของการต่อสู้กับเชื้อโรคในยุคปัจจุบันและการเตรียมตัวสำหรับอนาคต