รับมือฝนตกหนัก สทนช. ชี้เป้า 54 จังหวัดเสี่ยงน้ำท่วม ก.ค.-ต.ค. นี้

รับมือฝนตกหนัก สทนช. ชี้เป้า 54 จังหวัดเสี่ยงน้ำท่วม ก.ค.-ต.ค. นี้

สทนช. ผนึกกำลังทุกหน่วยงาน วางแผนเชิงรุกรับมือฝนตกหนักและพายุ ช่วงก.ค.-ต.ค. นี้ ชี้เป้า 54 จังหวัดเสี่ยงน้ำท่วม พร้อมปรับแผนบริหารจัดการน้ำ รับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ย้ำความพร้อมในการบูรณาการความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์ฝนตกหนักและพายุหมุนเขตร้อนที่คาดว่าจะเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม 2568 โดยเฉพาะในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม ซึ่งจะเป็นช่วงที่ฝนตกชุกที่สุดของปี เลขาธิการ สทนช. ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เปิดเผยว่า สทนช. ได้ดำเนินงานเชิงรุกมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนเข้าสู่ฤดูฝน จนถึงปัจจุบัน เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน

คาดการณ์สถานการณ์ฝนและพื้นที่เสี่ยง

กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่า ปริมาณฝนในช่วงเดือนกรกฎาคมจะยังคงมีน้อย ก่อนที่จะกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม โดยเฉพาะในภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตก รวมถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งจากอิทธิพลของพายุหมุนเขตร้อน 1-2 ลูกที่อาจพัดเข้าประเทศไทย

สทนช. ได้ประเมินและชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยล่วงหน้าจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2568 พบว่า:

  • เดือนกรกฎาคม : 18 จังหวัด 55 อำเภอ 203 ตำบล
  • เดือนสิงหาคม : 29 จังหวัด 125 อำเภอ 348 ตำบล
  • เดือนกันยายน : 50 จังหวัด 281 อำเภอ 1,038 ตำบล
  • เดือนตุลาคม : 54 จังหวัด 342 อำเภอ 1,604 ตำบล
  • เดือนพฤศจิกายน : 37 จังหวัด 204 อำเภอ 962 ตำบล

9 มาตรการเชิงรุกรับมือฤดูฝนปี 2568

สทนช. ได้ติดตามการดำเนินงานตาม 9 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 อย่างใกล้ชิด เพื่อให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ดังนี้:

1. คาดการณ์ ชี้เป้า และแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยง : มีการแจ้งเตือนสถานการณ์น้ำไปแล้ว 9 ฉบับ และตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์เตือนภัยทั่วประเทศ รวมถึงจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่เปราะบาง

2. ทบทวน ปรับปรุงเกณฑ์บริหารจัดการน้ำ : วางแผนบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกันในระดับลุ่มน้ำ เพื่อกักเก็บน้ำให้เต็มศักยภาพ และเพียงพอต่อการใช้งานในฤดูแล้งถัดไป

3. เตรียมความพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือ บุคลากร : จัดทำฐานข้อมูลเครื่องจักร-เครื่องมือ ตรวจสอบความแข็งแรงของเขื่อนทุกแห่ง (พบว่ามั่นคงแข็งแรง) ตรวจสอบสิ่งกีดขวางทางน้ำ และจัดทำแผนกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ
 

4. ตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยคันกั้นน้ำ : ปรับปรุงซ่อมแซมคันกั้นน้ำ พนังกั้นน้ำ และทำนบแล้ว 467 แห่ง เสริมความสูงในจุดเสี่ยง เพื่อให้พร้อมใช้งานตลอดฤดูฝน

5. เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ : กำจัดผักตบชวาและวัชพืชไปแล้วกว่า 4.56 ล้านตัน ขุดลอกคูคลอง 251.74 กิโลเมตร และลอกท่อ 3,664 กิโลเมตร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ

6. ซักซ้อมแผนเผชิญเหตุและจัดตั้งศูนย์ส่วนหน้า : จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย อาทิ ลุ่มน้ำโขงเหนือ (เชียงราย) ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออกและลุ่มน้ำบางปะกง (ระยอง) และเตรียมจัดตั้งในลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ (หนองคาย) พร้อมฐานข้อมูลศูนย์พักพิงอุทกภัยชั่วคราว 10,764 แห่ง

7. เร่งพัฒนาและเก็บกักน้ำช่วงปลายฤดูฝน : หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างจัดทำฐานข้อมูลกักเก็บน้ำ

8. สร้างการรับรู้และสร้างความเข้มแข็งเครือข่าย : จัดทำแผนบูรณาการการแจ้งเตือนอุทกภัยทั้งระบบ และแผนยุทธศาสตร์การประชาสัมพันธ์ในภาวะวิกฤติ รวมถึงจัดอบรมเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติแผ่นดินถล่มใน 4 จังหวัด (เชียงใหม่ ตาก เชียงราย แม่ฮ่องสอน)

9. ติดตามประเมินผลและปรับมาตรการ : ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ประชาสัมพันธ์ข้อมูลแก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง และปรับแผนบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำ เขื่อนระบายน้ำ และประตูระบายน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์

การลงพื้นที่เชิงรุกและการสร้างเครือข่ายภาคประชาชน

เลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สทนช. ได้ทำงานเชิงรุกในการลงพื้นที่เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ใน 32 จังหวัด ภายใต้คู่มือการขับเคลื่อนมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 โดยล่าสุดได้ลงพื้นที่ลุ่มน้ำโขงเหนือ (ลำปาง พะเยา เชียงราย) และลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ (สกลนคร นครพนม บึงกาฬ หนองคาย) เพื่อทบทวนและปรับแผนการบริหารจัดการน้ำของอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำต่างๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง โดยเร่งระบายน้ำล่วงหน้าเพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับปริมาณน้ำก่อนมีฝนตกชุกในเดือนสิงหาคม-ตุลาคม เพื่อให้อ่างเก็บน้ำมีน้ำอยู่ในเกณฑ์ความจุไม่เกิน 80% ลดความเสียหายบริเวณพื้นที่ท้ายอ่างฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ สทนช. ยังได้ขับเคลื่อนการสร้างเครือข่ายภาคประชาชนในการแจ้งเตือนภัยด้านน้ำระดับพื้นที่ โดยประชาชนสามารถติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำได้ทาง Line Official Account: ไทยคู่ฟ้า และ Application: National ThaiWater พร้อมทั้งสามารถแจ้งเหตุหรือรายงานอุทกภัยผ่าน Application ดังกล่าว เพื่อให้หน่วยงานสามารถเข้าช่วยเหลือในพื้นที่ได้อย่างตรงจุด และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นให้เหลือน้อยที่สุด