การทรมาน สิทธิมนุษยชนและเทคโนโลยี | กฎหมาย 4.0

วันที่ 26 มิ.ย.ของทุกปี เป็น “วันต่อต้านการทรมานสากลของสหประชาชาติ" (United Nations International Day in Support of Victims of Torture) มีขึ้นเพื่อสนับสนุนการขจัดการทรมานและความมีประสิทธิภาพของการใช้
“อนุสัญญาต่อต้านการทรมาน (Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment: CAT)” ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 26 มิ.ย.2530
ประเทศไทยเข้าเป็นภาคี CAT เมื่อปี 2550 และได้ปรับปรุงกฎหมายและการดำเนินการต่างๆ ตามพันธกรณีในอนุสัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรา “พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565” (ผสมผสานกับหลักการในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ) ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อ 22 ก.พ.2566 เป็นต้นมา
ปรากฏการณ์การทรมาน หรือการกระทำที่รุนแรงต่ำกว่าอย่างการลงโทษหรือการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ดำรงอยู่ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติอย่างยาวนานและต่อเนื่อง ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของการกระทำต่อเนื้อตัวร่างกาย การทำให้ไร้อากาศหายใจ การขังเดี่ยวแบบแทบไม่เห็นโลกภายนอก เป็นต้น
เมื่อถึงยุค “4.0” ซึ่งโลกเต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ การกระทำเหล่านี้ก็ยังไม่ห่างหายไปจากสังคมมนุษย์ โดยเทคโนโลยีมีบทบาททั้งทางลบ (เช่น เป็นเทคนิคหนึ่งของการทรมาน) หรือเป็นส่วนสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามการทรมาน วันนี้ผู้เขียนจะพาไปดูบางประเด็นที่น่าสนใจทั้งในไทยและต่างประเทศ
๐ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ การใช้เทคโนโลยี และข้อห่วงกังวล
พระราชบัญญัติฯ กำหนดให้การกระทำโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมถึงบุคคลอื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้อง 3 รูปแบบ เป็นความผิดอาญาแยกจากความผิดทั่วไป ได้แก่ การกระทำทรมาน (ไม่ว่าจะเกิดผลทางกายหรือจิตใจ) (มาตรา 5) การกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (มาตรา 6) และการกระทำให้บุคคลสูญหาย (มาตรา 7)
พระราชบัญญัติฯ ได้ประยุกต์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเหล่านี้ โดยเห็นได้จากมาตรา 22 ซึ่งมีหลักในการควบคุมตัวว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบต้องบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องในขณะจับและควบคุมจนกระทั่งส่งตัวให้พนักงานสอบสวนหรือปล่อยตัวบุคคลดังกล่าวไป” และ “ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบแจ้งพนักงานอัยการและนายอำเภอในท้องที่ที่มีการควบคุมตัวโดยทันที”
เมื่อเป็นภาคี CAT ประเทศไทยจึงมีพันธกรณีในการส่งรายงานการดำเนินการตาม CAT ให้ “คณะกรรมการต่อต้านการทรมาน” ประจำ CAT พิจารณาตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด คณะกรรมการฯ ได้พิจารณารายงานรอบที่ 2 ของประเทศไทยไปเมื่อเดือน พ.ย.2567 โดยชื่นชมการมีผลใช้บังคับของพระราชบัญญัติฯ
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการฯ ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการบังคับใช้และข้อจำกัดในความเป็นจริงในกรณีการบันทึกภาพและเสียงไว้หลายจุดใน Concluding Observations on the Second Periodic Report of Thailand (ธ.ค.2567) อาทิ ข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับปริมาณทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการบันทึกภาพและเสียงเมื่อมีการควบคุมตัวและสอบปากคำ (paragraphs 15 และ 17 (d))
อาจได้รับการตีความที่แตกต่างกันโดยหน่วยงานผู้บังคับใช้กฎหมายแต่ละหน่วยงาน ซึ่งรวมถึงกรณีการไม่บังคับใช้ในพื้นที่ที่กฎหมายพิเศษมีผลใช้บังคับหรือเมื่อมีการประสานกับบุคคลอย่างไม่เป็นทางการ (paragraph 18 (a)) และข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงในกรณีการชุมนุมสาธารณะ และข้อเสนอแนะให้มีการจัดหากล้องติดตัวให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายเมื่อต้องจัดการสถานการณ์เหล่านี้ (paragraph 25 (c)) เป็นต้น
๐ ประเด็นใหม่ๆ เกี่ยวกับการทรมานและเทคโนโลยี
เทคโนโลยีสมัยใหม่อาจนำไปสู่การทรมานที่แยบยลยิ่งขึ้นหรืออยู่ในรูปแบบที่ผู้ร่าง CAT นึกไม่ถึง ยกตัวอย่างเช่น ใน Effects of Psychological Torture and Cybertorture with Emerging Digital Technologies under Anti-Torture Legal Obligations in China: A Mixed Methods Research in Risks and Remedies (2025)
Mingming Hai เสนอว่ารูปแบบการทรมานในปัจจุบันในหลายเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามามีบทบาทในกรณีการเกิดผลต่อจิตใจ โดยมีความคลุมเครือว่ากฎหมายปัจจุบันจะถูกตีความให้ครอบคลุมการกระทำในลักษณะนี้ได้หรือไม่
Hai ยกตัวอย่าง “การทรมานทางไซเบอร์" (cybertorture) เช่น การใช้ AI ในการปลุกเร้าเหยื่อหรือทำให้เหยื่อเสียตัวตนภายใต้วัตถุประสงค์ของการทรมานเพื่อเก็บหลักฐานทางประสาทวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวิธีการที่ใช้ในการสอบปากคำหรือการควบคุมตัวนั้นดูเหมือนจะไม่ใช่การบังคับขู่เข็ญ
อันเป็นการละเมิดเหยื่อบนฐานของเสรีภาพในการรับรู้ (cognitive freedom) สิทธิในความเป็นส่วนตัวด้านจิตใจ (mental privacy) และสิทธิในบูรณภาพด้านจิตใจและความต่อเนื่องทางจิตวิทยา (mental integrity and psychological continuity) ภายใต้กรอบคิด “สิทธิทางระบบประสาท" (neurorights) (ที่ยังไม่ถูกยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นสิทธิมนุษยชน) ซึ่ง Hai เห็นว่าการปรับปรุงกฎหมายต่อต้านการทรมานควรคำนึงถึงสิทธิกลุ่มนี้ (หน้า 6-7)
ในทางตรงกันข้าม เทคโนโลยีอาจนำไปใช้สนับสนุนการติดตามตรวจสอบและป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน (รวมถึงการทรมาน) ตัวอย่างที่น่าสนใจเช่น ในโปรเจ็ค “Decode Darfur” ของ Amnesty International ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Decoders Digital Volunteers ได้ช่วยกันปะติดปะต่อภาพถ่ายดาวเทียมของภูมิภาค Darfur ในประเทศซูดาน ที่อยู่ท่ามกลางความขัดแย้งและมีรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพื่อสำรวจการทำลายล้างบ้านเรือนในหมู่บ้านห่างไกลในช่วงปี 2557-2559
อาสาสมัครถึง 28,600 คน จาก 147 ประเทศ ร่วมกันสำรวจภาพถ่ายที่แต่ละภาพแสดงพื้นที่ประมาณ 100x100 เมตร ได้ถึง 2.6 ล้านภาพ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 300,000 ตารางกิโลเมตร ก่อนที่ข้อมูลเหล่านี้จะนำไปผ่านการประมวลผลและใช้เทรนด์ AI ซึ่งต่อมาถูกนำไปใช้ระบุพื้นที่ที่ปรากฏบ้านเรือนของมนุษย์และ/หรือมีการถูกทำลายล้างได้อีก 500,000 ตารางกิโลเมตร ในระดับประเทศ
อาจกล่าวได้ว่าโครงการนี้แสดงให้เห็นถึง “การทำงานประสานกันระหว่างมนุษย์และสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์จากระยะไกล ข้ามพรมแดนของพื้นที่และเวลา เพื่อจัดการกับความอยุติธรรมเชิงระบบ” (Data Witnessing: Attending to Injustice with Data in Amnesty International’s Decoders Project (2019) โดย Jonathan Gray หน้า 972)







