เปิดผล LEZ เฟสแรก จ่อขยายทั่วกรุง พร้อมเปิดลงทะเบียน บัญชีเขียว

วันนี้ (19 มิ.ย. 68) นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงความคืบหน้าและผลสำเร็จของมาตรการ "เขตมลพิษต่ำ" (Low Emission Zone: LEZ) ที่นำมาใช้เพื่อควบคุมปัญหา ฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตฝุ่น

ผลลัพธ์มาตรการ LEZ ปี 2568: ลดรถบรรทุก ลดฝุ่น PM2.5

มาตรการ LEZ ที่ประกาศใช้ในพื้นที่วงแหวนรัชดาภิเษก ช่วงวันที่ 23-24 มกราคม 2568 ได้จำกัดการเข้าพื้นที่ของ รถบรรทุก 6 ล้อขึ้นไป ที่ไม่ได้ลงทะเบียนบัญชีสีเขียว (ยกเว้นรถ EV, NGV, EURO 5-6) ซึ่งส่งผลให้ปริมาณรถบรรทุกในพื้นที่ลดลงเฉลี่ยวันละ 404 คัน และที่สำคัญคือ ค่าฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่บังคับใช้ลดลงถึง 15.6% เมื่อเทียบกับพื้นที่โดยรอบ

อย่างไรก็ตาม มีรถบรรทุกที่ฝ่าฝืนมาตรการนี้จำนวน 465 คดี (ข้อมูล ณ วันที่ 18 มิ.ย. 68) โดยมีการดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษแล้ว และพนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบปรับไปแล้ว 4 คดี

เตรียมพร้อมปี 2569: ขยายพื้นที่ LEZ ครอบคลุม 50 เขตทั่วกรุงเทพฯ

นายพรพรหมฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยผลสำเร็จที่เกิดขึ้น ทำให้กรุงเทพมหานครเตรียมพิจารณา ขยายพื้นที่บังคับใช้มาตรการ LEZ ให้ครอบคลุมทั้ง 50 เขตทั่วกรุงเทพมหานครในปี 2569 ซึ่งถือเป็นการยกระดับการจัดการ ปัญหามลพิษทางอากาศ ครั้งสำคัญ

ลงทะเบียน "บัญชีเขียว" สำหรับรถบรรทุก: เริ่ม 1 ต.ค. 68
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับมาตรการ LEZ ในปีหน้า รถบรรทุก 6 ล้อขึ้นไป ที่ต้องการลงทะเบียนใน บัญชีเขียว จะต้องนำรถเข้าสู่กระบวนการบำรุงรักษา อาทิ การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและเปลี่ยนไส้กรองอากาศ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

จากนั้น ผู้ประกอบการสามารถนำหลักฐานการบำรุงรักษาดังกล่าวมา ลงทะเบียนบัญชีเขียวออนไลน์ ได้ในช่วงเดือนตุลาคม 2568 โดยกรุงเทพมหานครจะประกาศรายละเอียดและช่องทางการลงทะเบียนให้ทราบอีกครั้ง

ประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นเพื่อพัฒนามาตรการ

กรุงเทพมหานครยังคงเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและทุกภาคส่วนเกี่ยวกับมาตรการ LEZ ในมิติต่างๆ เพื่อนำข้อมูลไปประกอบการพัฒนาเชิงนโยบายอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่ https://u.bangkok.co.th/LEZComment

ทั้งนี้ ในช่วงปี 2568 (29 ต.ค. 67 – 31 มี.ค. 68) มีรถบรรทุก 6 ล้อขึ้นไปที่ลงทะเบียนบัญชีเขียวแล้วทั้งสิ้น 57,936 คัน โดยแบ่งเป็นรถบรรทุก 10 ล้อ 44.8%, รถบรรทุก 6 ล้อ 21.5%, รถโดยสารประจำทาง 9.4% และรถพ่วงรวมถึงรถบรรทุกขนาดต่างๆ 24.3%