รองนายกฯ ประเสริฐ สั่งแก้ปัญหาน้ำเสีย 4 แม่น้ำหลัก รับมือฝนถล่ม

รองนายกฯ ประเสริฐ สั่งแก้ปัญหาน้ำเสีย 4 แม่น้ำหลัก รับมือฝนถล่ม

สั่งเร่งด่วน! "รองนายกฯ ประเสริฐ" ลุยเหนือ แก้ปัญหาน้ำเสีย 4 แม่น้ำหลัก พร้อมรับมือฝนถล่มหนักปลายเดือนนี้ สั่งตรวจสุขภาพประชาชนหวั่นปนเปื้อนโลหะหนัก

รองนายกรัฐมนตรี "ประเสริฐ จันทรรวงทอง" ลงพื้นที่ภาคเหนือเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ไข ปัญหาน้ำเสียในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง พร้อมสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเตรียมรับมือ ฝนตกหนักและอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้

ติดตามสถานการณ์น้ำและสุขภาพประชาชน

ในการประชุมที่สำนักงานชลประทานที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ นายประเสริฐได้หารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน รวมถึงผู้แทนจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยระบุว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อ ปัญหามลพิษข้ามพรมแดน ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนอย่างรุนแรง

จากการตรวจสอบคุณภาพน้ำ พบว่าบางจุดยังมีปริมาณ สารหนูเกินเกณฑ์มาตรฐาน รองนายกฯ ได้มอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการดังนี้ :

กรมควบคุมมลพิษ : เพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในพื้นที่เสี่ยง พร้อมเผยแพร่ผลการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมและข้อมูลความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และจัดให้มีระบบเตือนภัยด้านคุณภาพน้ำที่รวดเร็วและครอบคลุม

กรมควบคุมโรค กรมอนามัย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด : ตรวจสุขภาพประชาชนในพื้นที่ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเสี่ยง โดยเน้นการคัดกรองโรคจากสารหนูและโลหะหนักอื่น ๆ พร้อมติดตามผลอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ

การประปาส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกระทรวงมหาดไทย : เร่งจัดหาน้ำดื่มสะอาดสำรองให้ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และวางแผนระยะยาวในการจัดหาแหล่งน้ำดิบที่สะอาดปลอดภัย รวมถึงพัฒนาระบบประปาหมู่บ้านให้ได้มาตรฐานและเพียงพอ

กรมทรัพยากรน้ำ : เร่งศึกษา สำรวจ ออกแบบจุดชะลอน้ำ ฝายดักตะกอน และรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน พร้อมสำรวจแหล่งน้ำผิวดินแห่งใหม่

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา : ประเมินผลกระทบเบื้องต้นต่อภาคการเกษตรและการท่องเที่ยว กำหนดมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และให้คำแนะนำในการปรับตัวและฟื้นฟูอาชีพ

จังหวัด : เร่งดำเนินโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำที่ได้รับงบประมาณแล้ว และพิจารณาโครงการจำเป็นเร่งด่วนที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดสารพิษและฟื้นฟูแหล่งน้ำที่ปนเปื้อนเพื่อเสนอต่อรัฐบาล

สทนช. : วางแผนแก้ไขปัญหาระยะยาวและยั่งยืนผ่านความร่วมมือกับกลไกระหว่างประเทศ เช่น คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) และกรอบความร่วมมือแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง (LMC)

เร่งรับมืออุทกภัยและขุดลอกแม่น้ำ

นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรียังได้ติดตามความคืบหน้าของ มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งมีปริมาณฝนตกต่อเนื่องและคาดการณ์ว่าจะเกิดฝนตกหนักในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ จึงได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น และเร่งรัดโครงการที่รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณไว้

จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และลำพูน ได้รับมอบหมายให้เตรียมความพร้อมรับมือฤดูฝนอย่างเต็มที่ โดยบูรณาการมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2568 ร่วมกับแผนป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำท่วม และแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและลดผลกระทบต่อประชาชน

หน่วยงานทหารอย่าง หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กรมชลประทาน และกรมการทหารช่าง ได้รับคำสั่งให้เร่งขุดลอกแม่น้ำกก แม่น้ำรวก และแม่น้ำปิง รวมถึงการก่อสร้างพนังกั้นน้ำชั่วคราวในแม่น้ำสาย ในระหว่างที่โครงการยังไม่แล้วเสร็จ ทั้ง 3 จังหวัดต้องเตรียมเครื่องจักรและเครื่องมือให้พร้อมรองรับสถานการณ์น้ำท่วมและน้ำหลากได้ทันที นอกจากนี้ยังเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานบูรณาการข้อมูลเพื่อประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำให้ประชาชนรับทราบอย่างต่อเนื่อง

นางพัชรวีร์ สุวรรณิก รองเลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็กในพื้นที่ 3 จังหวัดยังสามารถรองรับน้ำได้อีกมาก โดยจังหวัดเชียงใหม่มีปริมาตรน้ำรวม 393.15 ล้านลูกบาศก์เมตร (56% ของความจุ) เชียงราย 67.10 ล้านลูกบาศก์เมตร (46% ของความจุ) และลำพูน 24.78 ล้านลูกบาศก์เมตร (59% ของความจุ)

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานยังคงเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับแผนบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ พร้อมเร่งดำเนินการโครงการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างพื้นฐานในแม่น้ำปิง แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก รวมถึงลำน้ำอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการไหลของน้ำและรองรับน้ำหลากได้อย่างเต็มศักยภาพ

ในส่วนของ แม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก ซึ่งเป็นแม่น้ำข้ามพรมแดนไทย-เมียนมา ประเทศไทยมีความก้าวหน้าในการขุดลอกแม่น้ำรวกประมาณ 53% และก่อสร้างพนังกั้นน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวรประมาณ 61% ขณะที่เมียนมาได้เริ่มดำเนินการขุดลอกแม่น้ำสายเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568 มีความก้าวหน้าประมาณ 3% การขุดลอกแม่น้ำปิงและแม่น้ำกกที่อยู่ระหว่างดำเนินการจะเร่งรัดให้แล้วเสร็จตามแผนโดยเร็ว เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากและลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้ได้มากที่สุด