บทบาทประชาชนและภาคธุรกิจ สร้างธรรมาภิบาลวัด | บัณฑิต นิจถาวร

ข่าวการทุจริตในวัดดังเมื่อเดือนที่แล้ว สร้างความห่วงใยให้กับพุทธศาสนิกชนไทยต่อเนื่อง สัปดาห์แล้วมีสื่อขอสัมภาษณ์ว่า เราจะสร้างธรรมาภิบาลบริหารวัดได้อย่างไร
เพื่อปกป้องวัดไม่ให้เสื่อมเสียกับการทุจริตฉ้อโกง โดยตั้งคำถามหลายประเด็น รวมถึงการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจและประชาชนในการสร้างธรรมาภิบาลให้กับวัด วันนี้จึงขอแชร์ความเห็นผมในประเด็นนี้ให้แฟนคอลัมน์ “เศรษฐศาสตร์บัณฑิต” ทราบ นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติโดยมีวัดเป็นสถาบันที่เชื่อมพระพุทธศาสนากับประชาชน วัดเกิดขึ้นด้วยศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อพระ มีต่อเจ้าอาวาส วัดจึงเป็นของประชาชน ศรัทธาของประชาชนมาจากความรู้ของพระสงฆ์ในวัดในการสอนและเผยแผ่พระพุทธศาสนา
การปฏิบัติของพระสงฆ์ในวัดตามพระธรรมวินัย และการทำกิจกรรมของวัดตามระเบียบและกฎหมาย ทำอย่างเป็นระบบ โปร่งใส ตรวจสอบได้ ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นและไว้วางใจ นี่คือวัดที่มีการบริหารอย่างมีธรรมาภิบาล เป็นวัดที่ประชาชนศรัทธา นำไปสู่ความยั่งยืนของวัดและความยั่งยืนของพระพุทธศาสนา
การบริหารวัดตามหลักธรรมาภิบาลเป็นสิ่งที่ทำได้ เป็นข้อสรุปจากโครงการ “การบริหารวัดในพระพุทธศาสนาอย่างมีธรรมาภิบาล” ที่มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาลทำร่วมกับ มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาสอินทปัญโญ (สวนโมกข์กรุงเทพ) สนับสนุนโดยกองทุนรวมธรรมาภิบาลไทย โดยมีวัดจากทั่วประเทศ 16 วัด สมัครใจเข้าร่วมเป็นวัดนำร่อง นําแนวปฏิบัติที่ดีของการบริหารวัดตามหลักธรรมาภิบาลไปปฏิบัติใช้
แต่ละวัดมีทีมจิตอาสาในพื้นที่เข้าสนับสนุนช่วยวัดให้สามารถนําแนวปฏิบัติไปปฏิบัติได้อย่างสำเร็จ ทีมจิตอาสา ประกอบด้วย ประชาชนในพื้นที่ทั้งจากภาคธุรกิจ ภาควิชาการคือ มหาวิทยาลัย และประชาชนทั่วไป เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยวัดในการเรียนรู้ วางระบบงานและนําระบบงานใหม่ไปปฏิบัติใช้ได้ด้วยตนเอง เป็นตัวอย่างของบทบาทที่ภาคธุรกิจและประชาชนสามารถมีได้ ช่วยได้ในการส่งเสริมการบริหารจัดการที่ดีให้กับวัด
ในรายละเอียด ประชาชนสามารถมีบทบาทส่งเสริมวัดและพระพุทธศาสนาได้กว้างขวางหลากหลาย เพราะประชาชนคือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญของวัด การช่วยเหลือวัดคือการช่วยเหลือและผดุงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา ช่วยลดภาระของพระสงฆ์ในทางโลก เช่น การบริหารวัด ทําให้พระสงฆ์มีเวลาได้มากขึ้นกับการศึกษาหาความรู้และเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ในความเห็นของผม สิ่งที่ประชาชนทําได้และควรทําในฐานะพุทธศาสนิกชนในการส่งเสริมวัดและพระพุทธศาสนา คือ
1.ไปวัดบ่อยขึ้น อย่างน้อยรู้จักว่าวัดใกล้บ้านเราหรือวัดในพื้นที่ที่เราอาศัยอยู่ มีกี่วัด วัดอะไรบ้าง สภาพเป็นอย่างไร ใครเป็นเจ้าอาวาส มีพระเยอะไหม พระบิณฑบาตอย่างไร เผื่อเราจะได้ไปร่วมตักบาตรทำบุญ รู้ว่ากิจกรรมประจําของวัดมีอะไรบ้าง เพื่อเรา ครอบครัว และลูกหลานจะได้เข้าร่วมงาน ร่วมสนับสนุน ฟังเทศน์
ร่วมบริจาคอย่างน้อยในวันสําคัญในพระพุทธศาสนา ให้ลูกหลานได้รู้จักวัด ได้เรียนรู้และสัมผัสพระพุทธศาสนา รวมถึงได้รู้จักคนอื่นๆ ทําให้เราเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ที่สำคัญทําให้คนไทยไปวัดมากขึ้น เพราะปัญหาหนึ่งของสังคมเราขณะนี้คือ คนไปวัดน้อยลง
2.สมัครใจเข้าร่วมและช่วยเหลือกิจกรรมของวัดอย่างเป็นกิจจะลักษณะ จากเล็กไปถึงใหญ่ ร่วมเป็นทีมงานร่วมเป็นคณะทำงาน เพื่อใช้ความรู้ความสามารถที่มีช่วยวัดในสิ่งที่พระหรือคฤหัสถ์ในวัดไม่ถนัด ต้องการคนมีความรู้มีประสบการณ์มาช่วยแนะนํา ให้ความเห็นหรือช่วยติดต่อบุคลากรหรือผู้รู้
งานในลักษณะนี้ก็เช่น ร่วมอยู่ในทีมทำงานของวัด เช่น เรื่องบัญชี จัดซื้อจัดจ้าง โครงการก่อสร้าง งานเผยแผ่ ช่วยวัดในการจัดอบรมกรรมฐาน หรือโครงการพิเศษของวัด เช่น สิ่งแวดล้อม ช่วยแนะนําวิธีการที่ถูกต้อง รวมถึงช่วยเป็นหูเป็นตาให้วัด งานเหล่านี้ต้องการคนที่พร้อมช่วยเหลือวัดและให้เวลาด้วยใจที่บริสุทธิ์ สามารถไว้วางใจได้ เพราะสำหรับวัดความไว้วางใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
3.ร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการวัด ที่จะช่วยเจ้าอาวาสในการตัดสินใจบนข้อมูลที่เพียงพอ มีเหตุมีผล และปกป้องเจ้าอาวาสไม่ให้พลาดพลั้งทําผิดโดยไม่ตั้งใจ หรือด้วยความไม่รู้ ที่อาจนําสู่ความเสื่อมเสียของวัดและพระพุทธศาสนาได้
การเป็นกรรมการควรเลือกวัดในพื้นที่เพื่อเราสามารถให้เวลาได้ ผ่านการสรรหาคัดเลือกอย่างโปร่งใส เป็นระบบ มีวาระการดำรงตำแหน่งชัดเจน เนื่องจากคณะกรรมการเป็นจุดสูงสุดขององค์กร การเป็นกรรมการต้องจริงจัง ไม่ใช่ไปแต่ชื่อ หรือไปแบบไม่สนใจ
เพราะกรรมการวัดถือเป็นตัวแทนประชาชน ต้องเป็นกําลังหลักให้วัดมี Check and Balance ในการตัดสินใจ สอดส่องดูแลการปฏิบัติงานของวัด ให้วัดมีระบบงานที่ควรมี มีการบริหารที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ที่จะเป็นพื้นฐานของการบริหารอย่างมีธรรมาภิบาล อันนี้สำคัญสุด
สําหรับภาคธุรกิจ มีทรัพยากร จึงสามารถเป็นกําลังสําคัญให้วัดได้ ทั้งด้วยการบริจาค การให้ความช่วยเหลือในเรื่องสิ่งของ สนับสนุนบุคลากรให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมของวัด และให้คําแนะนําต่างๆ โดยเฉพาะวัดในพื้นที่ ผมคิดว่าภาคธุรกิจมีความพร้อมที่จะทําบุญช่วยเหลือวัด จึงควรทํามาก แต่ทําอย่างเลือกวัดหน่อย ทําอย่างมีเหตุมีผล มีเป้าหมายเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับสังคม
ในโครงการธรรมาภิบาลวัดที่มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาลทํา เราก็เห็นตัวอย่างที่ดีมากมายของภาคธุรกิจในการสนับสนุนและช่วยเหลือในสิ่งที่วัดทํา เช่น
1.การบริจาคสิ่งของหรืออุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการที่ดีในวัด ตัวอย่างเช่น มูลนิธิทองพูล หวั่งหลี บริจาคคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สํานักงานให้วัดเหล่าอาภรณ์ จังหวัดยโสธร ให้วัดสามารถบันทึกบัญชีและจัดทํารายงานทางการเงินตามระบบงานใหม่ที่เป็นมาตรฐานได้
2.สนับสนุนโครงการที่วัดทําที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวม เช่น โครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของวัดจากแดง จังหวัดสมุทรปราการ ที่มีบริษัทจดทะเบียนร่วมสนับสนุนโครงการทั้งโดยการบริจาคเงิน บริจาคสิ่งของ เช่น โปรแกรมบันทึกบัญชีเพื่องานเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ และให้เวลาพนักงานบริษัทที่จะให้คําแนะนําวัดในงานด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
3.การบริจาคทั่วไป เช่น ทําบุญประจําปี ทําบุญโรงงาน งานกฐินประจําปี ที่บริษัทเอกชนทําอยู่ แต่อาจยกระดับโดยให้ความสำคัญกับวัดในพื้นที่มากขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับชุมชน มากกว่าที่จะไปนอกพื้นที่ ไม่เลือกวัดเฉพาะความมีชื่อเสียง หรือตามความจำเป็นหรือขาดแคลน แต่ให้ความสําคัญเลยไปถึงการบริหารจัดการของวัด เน้นความเป็นระบบ ความโปร่งใส และความน่าเชื่อถือ
สิ่งเหล่านี้ที่ภาคธุรกิจทําจะเป็นแนวโน้มหรือแรงกดดันให้วัดและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ ให้ความสําคัญกับการบริหารจัดการที่ดีมากขึ้น ซึ่งถ้าภาคเอกชนในฐานะผู้บริจาคให้ความสําคัญกับเรื่องเหล่านี้ วัดเองก็จะต้องปรับตัว ต้องปรับการบริหารตามไปด้วย
นี่คือความเห็นของผม บทบาทที่ประชาชนและภาคธุรกิจที่จะช่วยปกป้องวัดจากความไม่ดีต่างๆ รวมถึงส่งเสริมการบริหารจัดการที่ดีให้กับวัดนั้นทำได้มาก แต่สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าเราไม่ทําอะไร.
คอลัมน์ เศรษฐศาสตร์บัณฑิต
ดร. บัณฑิต นิจถาวร
ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมมาภิบาล