บทเรียนจากเทนนิสเฟรนช์โอเพ่น

ดิฉันพูดกับเพื่อนร่วมงานเสมอๆว่า “คู่แข่งที่เก่ง จะทำให้เราเก่งขึ้น” คาร์ลอส อคาราสก็เช่นกัน เพราะมีคู่แข่งที่เก่งอย่าง ยานิค ซินเนอร์ คาร์ลอส อคาราส จึงต้องขุดค้นความสามารถของตนเองออกมาให้หมด เพื่อให้สามารถชนะคู่แข่งทีละแต้ม ทีละแต้ม
ท่านที่ได้ชมรอบชิงชนะเลิศชายเดี่ยวของเทนนิสเฟรนช์โอเพ่น ปี 2025 ที่แข่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน คงรู้สึกว่า ช่างเป็นเกมส์ที่ยาวนานอะไรปานนั้น เล่นกันถึงห้าเซ็ท และเซ็ทสุดท้ายตัดสินกันที่ไทเบรก
ดิฉันเองก็ชมการถ่ายทอดสดจนถึงเซ็ทที่สาม โดยสองเซ็ทแรก ยานิค ซินเนอร์ จากอิตาลี เอาชนะไปได้ก่อน แม้ว่าดิฉันจะเชียร์ฝ่ายที่เป็นรอง และดิฉันดูแล้วคิดว่าอย่างไร คาร์ลอส อคาราส จากสเปน ก็คงไม่สามารถกวาดได้อีกสามเซ็ทที่เหลือ ด้วยฟอร์มการเล่นที่มีผิดพลาดเองมากกว่าคู่แข่ง และความเหนื่อยล้าที่ผ่านมาจากการแข่งขันถึงรอบชิงชนะเลิศ คงทำให้ไปไม่ถึงดวงดาว
เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาเปิดทีวีดู ปรากฏว่าเขานำเทปการแข่งขันในส่วนไฮไลท์มาฉายพอดี ได้เห็นคะแนนเซ็ทที่สามว่า คาร์ลอส อคาราส สามารถพลิกเอาชนะ ยานิค ซินเนอร์ได้ และในเซ็ทที่สี่ ซินเนอร์ได้ สามแชมเปี้ยนชิพพ้อนท์ คือมีโอกาสทำคะแนนเพื่อเป็นแชมป์ได้ถึงสามครั้ง แต่คาร์ลอส อคาราส ก็สู้ไม่ถอย ด้วยหัวจิตหัวใจของคนสเปนซึ่งขึ้นชื่อว่าอดทนมาก
และคาร์ลอส อคาราสก็สู้ทีละแต้มจนได้เซ็ทที่สี่ และเซ็ทที่ห้า ก็เกือบจะเสียให้กับ ยานิค ซินเนอร์อีกครั้งหนึ่ง แต่เขาฮึดสู้ จนมาถึงไทเบรก และเอาชนะไปในที่สุด
สะท้อนมาถึงชีวิตจริงของคนไทย เรารู้ตัวว่าเศรษฐกิจและโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมของเรากำลังอยู่ในขาลง ซึ่งก็ยังดีกว่าคนที่ไม่รู้ตัวอยู่หน่อยหนึ่ง เราพูดกันอย่างกว้างขวางว่า เรากำลังจะเป็นรัฐที่ล้มเหลว (Failed State) เราเป็นห่วงประเทศ แต่พวกเราส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะบ่น ที่จะรู้สึกเศร้าและเสียดาย ที่จะหมดหวังและปล่อยไปตามชะตากรรม หรือบางคนยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไปว่า เรากำลังอยู่ในฐานะลำบาก อาการใกล้โคม่าเหลือเกิน
ทำไมเราไม่สวมหัวใจเสือเหมือน คาร์ลอส อคาราส? ทำไมเราไม่ฮึดสู้จนนาทีสุดท้าย? เรายินดีที่จะเห็นเรือประเทศไทย จมลงไปเพราะน้ำมือคนเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์หรือ
การตั้งเป้าหมายที่ต้องการ (Intended Outcome) คือวิธีการที่จะช่วยวางแนวทางให้เราไปถึงเป้าหมาย สำหรับนักกีฬา เป้าหมายคือต้องการชัยชนะ ต้องการเป็นแชมป์
สำหรับประเทศไทย เป้าหมายที่ต้องการคืออะไร ?
ดิฉันว่าเป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือการมีประชากรที่มีคุณภาพ จึงพยายามสรรหาเป้าหมายที่เราจะทำ เพื่อให้เราพ้นจากการเป็นรัฐที่ล้มเหลว
เป้าหมายที่ต้องการคือ ให้ประเทศไทยมีประชากรที่มีคุณภาพ รู้จักรับผิดชอบ มีศีลธรรม จรรยาบรรณ สังคมมีการเปิดโอกาสให้เท่าเทียม การทำงานมีประสิทธิภาพ มีการบังคับใช้กฎหมายและมีกระบวนการยุติธรรมที่ยุติธรรม สังคมมีความสงบสุข เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจ ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน คำนึงถึงส่วนรวม
แม้หนทางจะยากลำบาก แม้อาจไม่มีโอกาสบรรลุเป้าหมายในช่วงชีวิตของเรา แต่หากมีพัฒนาการและมีโอกาสบรรลุใน 50 ปีข้างหน้า ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไร และปล่อยให้มันเป็นไปยถากรรม เสมือนยืนดูเรือที่กำลังค่อยๆจมลง
ดิฉันพูดกับเพื่อนร่วมงานเสมอๆว่า “คู่แข่งที่เก่ง จะทำให้เราเก่งขึ้น” คาร์ลอส อคาราสก็เช่นกัน เพราะมีคู่แข่งที่เก่งอย่าง ยานิค ซินเนอร์ คาร์ลอส อคาราส จึงต้องขุดค้นความสามารถของตนเองออกมาให้หมด เพื่อให้สามารถชนะคู่แข่งทีละแต้ม ทีละแต้ม
ดิฉันจำได้ว่าตอนเด็กๆ เราจะรู้สึกว่า สิงคโปร์และมาเลเซีย เป็นคู่แข่งของไทย แต่พอดิฉันเรียนจบ สิงคโปร์กับมาเลเซียก็กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ขณะที่เรายังเป็นประเทศกำลังพัฒนาเหมือนเดิม ในปี 1990 ดิฉันถูกส่งไปอบรมหลักสูตร Equity Investment Analysis ของธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือเอดีบี มีประเทศในเอเชียเข้าร่วมประมาณสิบประเทศ สมัยนั้น ไทยกับเกาหลีใต้ จะเป็นสองประเทศที่ใครๆก็ชื่นชม เราได้เครดิตเรทติ้งเดียวกัน เป็นประเทศกำลังพัฒนาเป็นเสือของเอเชียเหมือนกัน
เวลาผ่านไปไม่กี่ปี เกาหลีใต้ค่อยๆแซงเรา เขาเน้นการทำวิจัยและพัฒนา เขาตั้งใจแข่งขันด้วยเทคโนโลยี และต่อมาก็มีด้านวัฒนธรรมเคป็อป และซีรีส์ทีวีต่างๆออกมาครองใจคนเอเชีย และคนทั่วโลก วันนี้ S&P ให้อันดับความน่าเชื่อถือของเกาหลีใต้เป็น AA สิงคโปร์ เป็น AAA มาเลเซีย เป็น A- ขณะที่ของเราอยู่ที่ BBB+
ประเทศไทยเราก็เปลี่ยนคู่แข่งไปเรื่อยๆ เอาที่สบายใจ เลือกคู่แข่งที่อ่อนแอกว่า กว่าเขาจะตามทันก็คงอีกนาน เราก็หันมาเลือกเวียดนามเป็นคู่แข่ง ผ่านไปสามสิบปี เวียดนามทำท่าว่าจะแซง เพราะมีประชากรที่ขยันขันแข็ง ชอบเรียนรู้ ขณะที่ประชากรส่วนใหญ่ของเราชอบสบาย ชอบความบันเทิง รักสวยรักงาม หนักไม่เอาเบาไม่สู้ และกำลังจะไปมอง สปป.ลาว และเขมร เป็นคู่แข่งใหม่
คอร์รัปชั่น กัดกินเราจนผุหมดแล้ว มันแทรกซึมเข้าไปในทุกวงการ ด้วยค่านิยมผิดๆเกี่ยวกับความอยากมีเงิน อยากรวย ทำให้หลายคนเห็นผิดเป็นชอบ ไม่มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป
เชิญชวนทุกท่านตั้งเป้าหมายทำให้ประชากรไทยมีคุณภาพ อยากพัฒนาตัวเอง มีศีลธรรม ด้วยการทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดี ทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่านิ่งดูดายหากเห็นมีการทำไม่ถูกต้อง ดังที่ศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย อดีตประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวไว้ว่า “สิ่งที่ถูกต้องคือถูกต้อง แม้ไม่มีใครทำสิ่งนั้น สิ่งที่ผิดคือสิ่งที่ผิด แม้ทุกคนทำสิ่งนั้น”
ทุกครั้งที่เห็นคนทำไม่ดีไม่งาม ต้องตักเตือน ต้องสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องให้กับเยาวชน แล้วปีหน้า และปีต่อๆไป เรามาแบ่งปันความรู้สึกกันว่า ประเทศไทยดีขึ้นกว่าเดิมสักนิดหรือไม่







