ก.แรงงาน จัดทัพใหญ่ คุมเข้มไซต์ก่อสร้าง ลดอุบัติเหตุเป็นศูนย์

ก.แรงงาน จัดทัพใหญ่ คุมเข้มไซต์ก่อสร้าง ลดอุบัติเหตุเป็นศูนย์

"พิพัฒน์" รมว.แรงงาน สั่งเพิ่มทีมผู้เชี่ยวชาญ คุมเข้มไซต์ก่อสร้างทั่วประเทศ ทั้งรัฐ-เอกชน ย้ำชัด "อุบัติเหตุจากความประมาท ต้องเป็นศูนย์" เพื่อความปลอดภัยแรงงานไทย

วันนี้ (5 มิ.ย.68) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุม ที่ปรึกษาและคณะทำงานเฉพาะกิจตรวจสอบและดูแลคุณภาพชีวิตแรงงาน กรณีเกิดอุบัติเหตุ อุบัติภัย หรือการประสบอันตรายจากการทำงานกรณีร้ายแรง ครั้งที่ 1/2568 โดยมี นายภุชงค์ วรศรี ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน นายเกริกไกร นาสมยนต์ ที่ปรึกษากฎหมาย พร้อมด้วย ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมด้วย เพื่อร่วมกันวางแผนลดอุบัติเหตุในไซต์ก่อสร้างขนาดใหญ่ และสถานประกอบกิจการกลุ่มเสี่ยงณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 อาคารกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
 

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า อุบัติเหตุจากการทำงาน โดยเฉพาะในภาคก่อสร้าง ยังคงเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตของแรงงานไทย รัฐบาลจึงมอบหมายให้กระทรวงแรงงานขับเคลื่อนมาตรการเชิงรุก ตรวจสอบความปลอดภัยและส่งเสริมการป้องกันในสถานที่ทำงาน พร้อมเน้นย้ำว่าอุบัติเหตุจากเหตุสุดวิสัยอาจควบคุมไม่ได้ แต่ “อุบัติเหตุจากความประมาทเลินเล่อ ต้องเป็นศูนย์” เพื่อให้การดำเนินงานเข้มข้นและมีประสิทธิภาพสูงสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ออกข้อสั่งการเพิ่มเติมดังนี้ 1. ให้ดึงบุคลากรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน อาทิ เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) จากหน่วยงานภายนอกเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน เพื่อเสริมความรอบด้านในการตรวจสอบ 2. ขยายพื้นที่ตรวจสอบ ให้ครอบคลุมไม่เพียงแต่โครงการรัฐขนาดใหญ่ แต่รวมถึงไซต์ก่อสร้างภาคเอกชนขนาดกลาง–เล็ก และขยายผลไปยังระดับจังหวัด เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทั่วประเทศ

ด้าน เรือเอก สาโรจน์ คมคาย อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า คณะทำงานฯ ได้เริ่มดำเนินการตรวจไซต์ก่อสร้างขนาดใหญ่ 3 แห่งในช่วงเมษายน–พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้แก่ โครงการทางด่วนพระราม 3 จำนวน 2 จุด รถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน–ราษฎร์บูรณะ พร้อมกำชับให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตาม “5 กฎเหล็ก” อย่างเคร่งครัด ได้แก่ 1. กำหนดเขตอันตรายชัดเจน 2. ออกแบบโครงสร้างตามมาตรฐาน 3. ตรวจสอบเครื่องจักรหนัก 4. ควบคุมงานเข้มงวด 5. สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล

แม้จะพบว่ามีการปฏิบัติตามแล้ว แต่ยังพบความเสี่ยงจากการใช้เครื่องจักรหนักและการทำงานในที่อับอากาศ จึงต้องเร่งเสริมมาตรการเพิ่มเติม เช่น การจัดทำแผนรองรับภัยธรรมชาติ การควบคุมความปลอดภัยในการก่อสร้างเวลากลางคืน และการฝึกซ้อมรับมือเหตุฉุกเฉินอย่างสม่ำเสมอ

นายพิพัฒน์ ยังได้เน้นให้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานด้านโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ เช่น การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และกรมทางหลวง (ทล.) รวมถึงโครงการก่อสร้างของเอกชน เพื่อขยายผลการตรวจสอบไปยังโครงการอุโมงค์ อาคารสูง และทางยกระดับทั่วประเทศ นโยบายด้านความปลอดภัยแรงงานไม่ใช่แค่การตรวจสอบหลังเกิดเหตุ แต่ต้องเป็นการป้องกันล่วงหน้าอย่างเข้มข้น เพื่อให้แรงงานไทยทุกคนปลอดภัยกลับบ้านทุกวัน