'ลำห้วยคลิตี้' สารตะกั่วพิษยังไม่หาย! วุฒิสภา จี้แก้ปัญหาซ้ำซาก

'ลำห้วยคลิตี้' สารตะกั่วพิษยังไม่หาย! วุฒิสภา จี้แก้ปัญหาซ้ำซาก

"ลำห้วยคลิตี้" ยังวิกฤต! สารตะกั่วพิษ ไม่หาย วุฒิสภา จี้ถามกรมควบคุมมลพิษ ชี้ "ย้ายมลพิษ" ไม่ใช่ทางออก หวั่นกระทบ น้ำประปา กทม.

วันนี้ (4 มิ.ย. 68) คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา นำโดย นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้จัดการประชุมพิจารณาแนวทางการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ ตำบลชะแล อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารตะกั่วอย่างรุนแรง โดยได้เชิญผู้แทนจากกรมป่าไม้และนายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา เข้าชี้แจงและเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหา

นายสุรพงษ์ กองจันทึก ได้เปิดเผยถึงปัญหาในการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ที่ผ่านมาว่า แม้จะใช้งบประมาณไปแล้วหลายร้อยล้านบาท แต่สถานการณ์ยังคงไม่ดีขึ้น เนื่องจากกรมควบคุมมลพิษใช้วิธีดูดตะกอนดินปนเปื้อนสารตะกั่วจากบริเวณฝายและเขื่อนดักตะกอน 8 จุด ไปฝังกลบในบ่อหินผุเหนือลำห้วยคลิตี้ ซึ่งเป็นเพียงการ "ย้ายมลพิษ" ไม่ใช่การกำจัดสารตะกั่วอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ยังแสดงความกังวลว่าสารตะกั่วอาจไหลลงสู่แม่น้ำแม่กลอง และส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำประปาให้กับประชาชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้

นายสุรพงษ์ ยังเน้นย้ำว่า พื้นที่ทำเหมืองแร่อยู่ในความดูแลของกรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช หากเกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติ หน่วยงานภาครัฐควรเป็นโจทก์ยื่นฟ้องผู้กระทำผิด หรือแจ้งความดำเนินคดี เพื่อให้ลำห้วยคลิตี้กลับคืนสู่สภาพเดิม

ด้าน นายชีวะภาพ ชีวะธรรม กล่าวว่า กรณีลำห้วยคลิตี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญ เนื่องจากขณะนี้มีการนำแนวคิดเรื่องฝายและเขื่อนดักตะกอนไปใช้แก้ปัญหาสารปนเปื้อนในลำน้ำกก จังหวัดเชียงราย ซึ่งจากการตรวจสอบรายงานคุณภาพน้ำในลำห้วยคลิตี้ของกรมควบคุมมลพิษ พบว่ามีการตรวจวัดคุณภาพน้ำเฉพาะในหมู่บ้านคลิตี้บนและคลิตี้ล่างเท่านั้น ยังไม่มีรายงานการตรวจวัดในเขื่อนศรีนครินทร์และแม่น้ำแม่กลอง ซึ่งควรดำเนินการให้ครบถ้วน

นอกจากนี้ การตรวจวัดยังไม่ชัดเจนว่าปริมาณสารตะกั่วลดลงจริงหรือไม่ เนื่องจากยังมีค่ากราฟบางจุดที่ยังไม่ลดลง และยังพบตะกอนดินปนเปื้อนตะกั่วอีกกว่า 100,000 ตันใน 4-5 จุด ซึ่งอยู่ระหว่างการวางแผนนำไปฝังกลบในบ่อหินผุ
 

นายชีวะภาพ กล่าวว่า คณะกรรมาธิการฯ กำลังพิจารณาถึงวิธีการเก็บตัวอย่างน้ำและหน่วยงานที่จะสามารถยืนยันผลการตรวจวัดได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากปัจจุบันผลการตรวจวัดจากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและสถาบันการศึกษายังมีความแตกต่างกัน

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ มีข้อสังเกตว่า การที่ผู้กระทำความผิดไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ถือเป็นความผิดพลาดในการบังคับใช้กฎหมาย และทำให้รัฐต้องเสียงบประมาณจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังพบว่าบริษัทเหมืองแร่เดิมยังคงมีอิทธิพลในพื้นที่ และยังไม่มีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินของบริษัทออกจากพื้นที่ของกรมป่าไม้

คณะกรรมาธิการฯ จึงฝากให้กรมป่าไม้เร่งดำเนินการคืนพื้นที่และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง อาคารบ้านพัก และโรงแต่งแร่ออกไป เพื่อนำพื้นที่มาปลูกป่าฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมต่อไป โดยในสัปดาห์หน้า คณะกรรมาธิการฯ จะลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีเพื่อติดตามและหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด