ฮาร์วาร์ด : ต้องสู้จึงจะชนะ

มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เป็นหนึ่งในสถาบันซึ่งคนเก่งที่สุดจากทั่วโลก มาแสวงหาความรู้และเสรีภาพทางปัญญา
แต่ขณะนี้ ฮาร์วาร์ดกำลังเผชิญแรงกดดัน ที่ไม่เคยมีมาก่อน
เพื่อให้เข้าใจที่มาที่ไปของเรื่องนี้ ผมขอย้อนกลับไปเหตุการณ์ ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยระดับไอวี่ลีก ในช่วงที่ผมเดินทางไปร่วมพิธีรับปริญญาบัตรของลูกสาว เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมาครับ
พิธีรับปริญญาบัตรถูกยกเลิกกลางคัน โดยให้จัดพิธีมอบกันเองที่คณะต่างๆ เพราะมีการประท้วงต่อต้านสงครามอิสราเอล - กาซา โดยนักศึกษาปาเลสไตน์รวมตัวกันเรียกร้องความยุติธรรม ตั้งแคมป์กลางแคมปัส และบุกเข้ายึดอาคารเรียน
ขณะเดียวกันก็มีข่าวว่า มีการใช้วาจาคุกคามความปลอดภัยของนักศึกษาและอาจารย์เชื้อชาติยิว ทำให้บุคคลเหล่านั้นตกอยู่ในความกลัว ความขัดแย้งลุกลาม เกิดความแตกแยกทางความคิดในมหาวิทยาลัยอย่างรุนแรง
จนนำไปสู่การลาออกของอธิการบดีมหาวิทยาลัย
เหตุการณ์ผ่านไป 6 เดือนพอเข้าสู่ปี 2568 ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง เขาเปิดฉากสงครามกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ทันทีโดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายด้าน “ความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม” (Diversity, Equity, Inclusion หรือ DEI) ซึ่งเป็นกระแสในสังคมและมหาวิทยาลัยทั่วไป
ทรัมป์กลับมองว่า DEI เป็น “ความป่วยไข้ของสังคม” ที่บั่นทอนอเมริกา!
เขาเริ่มเข้ากดดันมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในเดือนมีนาคม 2568 ด้วยการตัดงบประมาณสนับสนุน 400 ล้านดอลล่าร์ โดยอ้างว่าโคลัมเบียล้มเหลวในการปฏิบัติต่อนักศึกษาชาวยิว และมีเงื่อนไขว่าถ้าต้องการเงินสนับสนุนกลับคืน โคลัมเบียจะต้องทำหลายอย่าง
อาทิ เพิ่มอำนาจให้ตำรวจของมหาวิทยาลัยจับนักศึกษาดำเนินคดีได้ ยกเลิกคณะกรรมการพิจารณาความผิดวินัย โดยให้อำนาจตัดสินโทษทางวินัย อยู่ในมือผู้บริหารสูงสุดของมหาวิทยาลัยเท่านั้น รวมทั้งเข้าแทรกแซงภาควิชาที่เกี่ยวข้องกับตะวันออกกลางด้วย ฯลฯ
ผู้บริหารมหาวิทยาลัยโคลัมเบียต้องยอมทำตามเงื่อนไข เพื่อให้ได้รับเงินทุนกลับคืน แต่ก็ต้องแลกด้วยการถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จากคณาจารย์ ศิษย์เก่า และนักศึกษาปัจจุบัน
ศิษย์เก่ากว่า 2,600 คน ลงชื่อประณามการตัดสินใจดังกล่าว บางคนฉีกปริญญาบัตรทิ้ง และผู้บริจาคเงินรายใหญ่บางราย ระงับการสนับสนุน กดดันอธิการบดีให้ต้องลาออกถึง 2 คน ภายในเวลาไม่ถึงปี
หลังจากที่โคลัมเบียต้องจำยอม ทรัมป์ก็หันเป้าไปที่ฮาร์วาร์ด โดยเริ่มจากการตรวจสอบเงินสนับสนุนที่รัฐบาลให้แก่ฮาร์วาร์ด ในรูปแบบต่างๆ เช่น ทุนวิจัย สัญญาว่าจ้างงานด้านวิชาการ และความร่วมมือด้านการศึกษา เป็นต้น
แล้วก็ยื่นคำขาดให้ฮาร์วาร์ดดำเนินการหลายประการ คือให้ ยุตินโยบาย DEI และปรับเปลี่ยนแนวทางการจ้างบุคลากร โดยไม่ต้องคำนึงถึงความหลากหลาย
รวมทั้งขอรายชื่อนักศึกษาต่างชาติทั้งหมดกว่า 6,800 คน โดยอ้างว่านักศึกษาบางคนมี “แนวคิดต่อต้านอเมริกา” หรือเกี่ยวข้องกับการประท้วงในมหาวิทยาลัย
ฮาร์วาร์ดภายใต้การนำของอธิการบดี อลัน การ์เบอร์ ไม่เพียงปฏิเสธข้อเรียกร้องทั้งหมด แต่ยังประกาศยืนหยัดหลักเสรีภาพทางวิชาการ
รัฐบาลก็ตอบโต้ทันที ด้วยการแช่แข็งเงินทุนกว่า 3.2 พันล้านดอลล่าร์ ซึ่งมากกว่าโคลัมเบียถึง 8 เท่า และในเดือนพฤษภาคม ก็ได้ดำเนินการรุนแรงที่สุด คือเพิกถอนสิทธิของฮาร์วาร์ดในการรับนักศึกษาต่างชาติ โดยให้มีผล “ทันที”
คำสั่งจากกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) ระบุชัดว่า ฮาร์วาร์ดถูกถอดจากโครงการ Student and Exchange Visitor Program (SEVP) ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2568
ผลคือนับจากวันนั้น มหาวิทยาลัยไม่สามารถออกเอกสารขอวีซ่านักศึกษาได้อีก และกระทบต่อนักศึกษาต่างชาติที่เรียนฮาร์วาร์ด กว่า 6,800 คน เพราะถูกสั่งให้ไปหาที่เรียนที่อื่นในโครงการ SEVPถ้าหาไม่ได้ ก็จะอยู่แบบผิดกฎหมาย….โห! อะไรจะขนาดนั้น?
รัฐบาลทรัมป์ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า เป็นการใช้อำนาจละเมิดสิทธิพลเมืองขั้นพื้นฐาน และขัดกับหลักการของระบบเสรีภาพของมหาวิทยาลัยโดยสิ้นเชิง
แต่รัฐบาลก็ยังข่มขู่ว่าอาจใช้มาตรการแบบนี้กับ มหาวิทยาลัยอื่นๆ อีกด้วย
ล่าสุดเมื่อวันพุธ ก็ออกคำสั่งสถานฑูตทั่วโลก ให้ชะลอการนัดสัมภาษณ์วีซ่านักเรียน และให้ตรวจโซเชียลมีเดียของผู้สมัครทุกคนอย่างเข้มข้น และเมื่อวานนี้ ทรัมป์ก็ออกมาบอกว่า ฮาร์วาร์ดควรลดจำนวนนักเรียนต่างชาติลง จาก 30% เหลือเพียง 15%
ทรัมป์จะมาท่าไหน ฮาร์วาร์ด ก็ไม่ยอมจำนนครับ และได้ตัดสินใจยื่นฟ้องรัฐบาล โดยระบุว่าการกระทำของรัฐบาลไม่เพียงละเมิดรัฐธรรมนูญ แต่ยังคุกคามอนาคตของเสรีภาพทางวิชาการ ซึ่งศาลได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวอยู่ในขณะนี้
จนถึงเมื่อวานนี้ 29 พ.ค. 2568 รัฐบาลยังกดดันต่อเนื่อง แต่ฮาร์วาร์ดไม่ยอมถอย ไม่ยอมส่งรายชื่อนักศึกษา ไม่ยกเลิก DEI และไม่เปลี่ยนแปลงอุดมการณ์ เพียงเพื่อแลกกับเงินหรือสิทธิจากรัฐ
นี่ไม่ใช่การดื้อดึงเพื่อชื่อเสียง แต่เป็นการยืนหยัดเพื่อ “หลักการ” ที่สังคมเสรีควรยึดถือร่วมกัน
ผมชื่นชมผู้บริหารมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด งานนี้ต้องสู้กับอำนาจรัฐ และเงินสนับสนุนงานวิจัยจะหายไปจำนวนมาก แต่มหาวิทยาลัยก็อยู่มานานขนาดนี้ มีศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงมากมายเช่นนี้ จะยอมให้เงินหรืออำนาจรัฐ มามีอิทธิพลเหนือเสรีภาพทางวิชาการ ได้อย่างไร
ฮาร์วาร์ดอยู่มา 389 ปีแล้วครับ แต่ทรัมป์ก็คือนักการเมือง ที่ผ่านมาประเดี๋ยวเดียวแล้วก็ไป ถ้าครูบาอาจารย์ไม่ยืนหยัดในหลักการ แล้วสังคมจะเหลืออะไร
ฮาร์วาร์ดต้องสู้เท่านั้น… ต้องสู้… จึงจะชนะ







