สารพิษแม่น้ำกก! สว.ชีวะภาพ ย้ำแก้ที่เหมืองเพื่อนบ้าน ก่อนฟ้องศาลโลก

วิกฤต สารพิษแม่น้ำกก! สว.ชีวะภาพ ชี้สารพิษมาจากเหมืองประเทศเพื่อนบ้าน เตือนหากเจรจาไม่สำเร็จ อาจต้องพึ่งศาลโลก
วันนี้ (27 พ.ค. 68) นายชีวะภาพ ชีวะธรรม สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา เปิดเผยถึงผลการประชุมเพื่อพิจารณาข้อเท็จจริงกรณีสารพิษปนเปื้อนใน แม่น้ำกก ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดเชียงราย โดยยืนยันว่าปัญหาดังกล่าวมีต้นตอมาจาก เหมืองในประเทศเพื่อนบ้าน และเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุอย่างจริงจัง หากการเจรจาไม่เป็นผล อาจจำเป็นต้องพึ่ง ศาลโลก เพื่อดำเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ในการประชุมวันนี้ กรมควบคุมมลพิษไม่ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมเนื่องจากติดภารกิจในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม น.ส.นันทวัน สุวรรณสถิตย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ชี้แจงว่า สทนช. ได้ประสานงานไปยังกระทรวงการต่างประเทศ, สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการลุ่มน้ำโขง (MRCS) และคณะทำงานร่วมตามกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC) เพื่อขอให้เมียนมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน 2568 แต่ได้รับการตอบกลับว่าไม่พบสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน มีเพียงความขุ่นในแม่น้ำเท่านั้น และเมื่อ สทนช. ขอข้อมูลพิกัดและเวลาตรวจวัดเพิ่มเติม กลับได้รับผลการตรวจวัดแม่น้ำสายและแม่น้ำโขงแทนที่จะเป็นแม่น้ำกก
ความคืบหน้าการเจรจาและอุปสรรค
นายไวฑิต โอชวิช ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์น้ำ สทนช. กล่าวเสริมว่า หน่วยงานด้านความมั่นคงและผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้ประสานงานในระดับพื้นที่มาโดยตลอด แต่หน่วยงานท้องถิ่นยังไม่สามารถเจรจากับชนกลุ่มน้อยได้ ล่าสุด มีรายงานว่า นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำผิวดิน จะเดินทางไปเจรจากับเมียนมาในช่วงสิ้นเดือนมิถุนายนหรือต้นเดือนกรกฎาคมนี้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตอบรับของเมียนมา เนื่องจากไทยเคยติดต่อเจรจาหลายครั้งแล้วแต่ยังไม่สะดวกในการพูดคุย
แนวทางแก้ไขและข้อเสนอแนะ
นายชีวะภาพ เน้นย้ำว่า การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เช่น การสร้างเขื่อนดักตะกอน ควรทำในขั้นตอนของการฟื้นฟูเท่านั้น ส่วนการแก้ไขปัญหาหลักต้องมุ่งไปที่ ต้นเหตุของมลพิษ ซึ่งคาดว่ามาจากการทำเหมืองในประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำทั้งในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย โดยเฉพาะการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยสามารถดำเนินการได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งความดำเนินคดีหรือการรื้อถอนอาคารที่ผิดกฎหมาย
"เรื่องแม่น้ำกก เราจะเรียกร้องในส่วนที่รุกล้ำลำน้ำเป็นอันดับแรก เพราะรัฐบาลไทยทำได้เลย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นตึกที่ก่อสร้างไปในที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ มันผิดอยู่แล้ว และอันดับสอง พ.ร.บ.ควบคุมอาคารได้บังคับใช้หรือไม่ ดังนั้นสิ่งเหล่านี้ต้องดำเนินการ ส่วนเรื่องสารปนเปื้อนต้องเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ถ้าเจรจาไม่ได้จริงๆ วิกฤตจริงๆ อาจจะต้องพึ่งกระบวนการกฎหมายระหว่างประเทศ พึ่งศาลโลก" นายชีวะภาพกล่าว
สำหรับ แม่น้ำสาย คณะกรรมาธิการฯ จะเน้นเรื่องสิ่งก่อสร้างที่รุกล้ำลำน้ำเป็นหลัก โดยจะดำเนินการตามกฎหมายของไทยก่อนเป็นอันดับแรก หากสิ่งปลูกสร้างในฝั่งประเทศเพื่อนบ้านมีการรุกล้ำเช่นกัน ก็จะต้องดำเนินการรื้อถอนในลักษณะเดียวกัน
นายชีวะภาพย้ำว่าสิ่งสำคัญคือต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชน โดยการแจ้งข้อมูลที่ถูกต้องและชี้แจงระดับความอันตรายของสารปนเปื้อนให้ชัดเจน เนื่องจากข้อมูลในปัจจุบันยังคงไม่แน่นอน
การแก้ไขปัญหาสารพิษปนเปื้อนในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายนี้ จึงเป็นประเด็นที่ต้องอาศัยความร่วมมือและการเจรจาในระดับนานาชาติอย่างจริงจัง เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ หากการเจรจาไม่เป็นผล ตัวเลือกสุดท้ายในการพึ่งพา ศาลโลก ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณา







