เราจะสร้างวัดให้มีธรรมาภิบาลได้อย่างไร | บัณฑิต นิจถาวร

ข่าวฉ้อโกงและทุจริตในวัดสร้างความสะเทือนใจให้กับพุทธศาสนิกชนเสมอ กรณีล่าสุดก็เช่นกัน และคราวนี้ยิ่งสะเทือนใจเพราะเป็นวัดใหญ่
ความเสียหายมีมาก และทั้งหมดเป็นเงินบริจาคของประชาชน จึงมีคำถามว่าเราจะช่วยกันวางระบบให้วัดมีการบริหารจัดการที่ดี หรือมีธรรมาภิบาลได้อย่างไร
เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาลก็มีความห่วงใยเรื่องนี้จึงได้จัดทำโครงการ “การบริหารวัดในพุทธศาสนาตามหลักธรรมาภิบาล” ร่วมกับ มูลนิธิหอจดหมายพุทธทาสอินทปัญโญ (สวนโมกข์ กรุงเทพ) เมื่อสองปีก่อน สนับสนุนโดยกองทุนรวมธรรมาภิบาลไทย เพื่อวางระบบการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลให้กับวัด โดยมี 16 วัดทั่วประเทศสมัครใจเข้าร่วม
วันนี้จึงอยากให้ความเห็นเรื่องนี้และแชร์ประสบการณ์จากการทำโครงการธรรมาภิบาลวัดที่พูดถึง เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการผลักดันการบริหารจัดการที่ดีให้กับวัดในสังคมเราต่อไป นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจําชาติ ที่บ่มเพาะจิตใจและศีลธรรมที่ดีงามในสังคมไทยมาช้านาน โดยมีวัดเป็นสถาบันหลักที่เชื่อมพระพุทธศาสนากับประชาชน วัดสร้างขึ้นโดยศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อพระ มีต่อเจ้าอาวาส
วัดจึงเป็นของประชาชน และศรัทธาของประชาชนมาจากความรู้ของพระสงฆ์ในวัดในการสอนและเผยแผ่พระพุทธศาสนา การปฏิบัติของสงฆ์ตามพระธรรมวินัย และการทำกิจการของวัดตามระเบียบและกฎหมายด้วยวิธีที่เป็นที่ยอมรับ
นั้นคือการบริหารวัดอย่างมีธรรมาภิบาล ทั้งหมดทำให้ประชาชนศรัทธา นำมาสู่ความยั่งยืนของวัดและความยั่งยืนของพระพุทธศาสนา
วันเสาร์ที่ผ่านมา ผมร่วมเป็นวิทยากรในงานเสวนา “ระบบธรรมาภิบาลวัด: จะสร้างได้อย่างไร” ร่วมกับ นพ.บัญชา พงษ์พานิช กรรมการและเลขานุการมูลนิธิหอจดหมายพุทธทาสอินทปัญโญ (สวนโมกข์กรุงเทพ) คุณวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อคนไทยและประธานกรรมการมูลนิธิยุวพัฒน์
รศ.ดร.ณดา จันทร์สม ผู้อํานวยการศูนย์ศึกษาพัฒนาการเศรษฐกิจ คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และ รศ.ดร.สิริลักษณา คอมันตร์ รองประธานกรรมการ มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
มีผู้สนใจมาก แสดงถึงความห่วงใยของประชาชนในเรื่องนี้ ซึ่งผมได้ให้ความเห็นว่า
การบริหารวัดตามหลักธรรมาภิบาลเป็นสิ่งที่ทำได้ สรุปได้จากโครงการที่มูลนิธิทำ โครงการเริ่มจากแนวคิดว่า วัดก็เหมือนองค์กรทั่วไปที่ต้องบริหารจัดการ ในกรณีบริษัทธุรกิจจะมีการกำหนดแนวปฏิบัติที่ดีให้บริษัทนำไปปฏิบัติ เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ซึ่งกรณีบริษัทจดทะเบียน แนวปฏิบัติที่ดีจะมีมากกว่า 200 ข้อตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีของ OECD
สำหรับวัด ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงกำไร กิจกรรมของวัดไม่ยุ่งยากเหมือนบริษัท แต่แนวปฏิบัติที่ดีของวัดต้องสะท้อนหลักธรรมาภิบาลที่เป็นหัวใจของวัดและพระพุทธศาสนา นั้นคือ พระธรรมวินัย การปฏิบัติตามกฎหมาย และการตัดสินใจร่วมกันของคณะสงฆ์
นอกจากนี้ต้องครอบคลุมสามเรื่องที่เป็นหัวใจของธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการ นั้นคือ ความโปร่งใส การมีระบบงานที่เป็นมาตรฐาน และการสอบทานจากภายนอก
ทั้งหมดนำมาสู่แนวปฏิบัติเก้าข้อของการบริหารวัดตามหลักธรรมาภิบาลที่โครงการได้พัฒนาขึ้น และนำไปปฏิบัติใช้กับวัดที่เข้าร่วมโครงการ สรุปได้ดังนี้
1.วัดบริหารโดยคณะกรรมการ ประกอบด้วย เจ้าอาวาส พระสงฆ์ในวัด และคฤหัสถ์ที่ได้รับคัดเลือกเป็นกรรมการ โดยมีเจ้าอาวาสเป็นประธาน
2.วัดกำหนดคุณสมบัติและวาระการดำรงตำแหน่งของคฤหัสถ์ที่เข้ามาทำหน้าที่กรรมการและไวยาวัจกร
3.เจ้าอาวาส พระสงฆ์ ไวยาวัจกร และคฤหัสถ์ที่เป็นกรรมการ ควรพัฒนาความรู้เรื่อง พระธรรมวินัย กฎหมาย การบริหาร และธรรมาภิบาล
4.วัดกำหนดนโยบายและระเบียบที่สําคัญเป็นลายลักษณ์อักษร
5.วัดมีระบบการเงิน ระบบบัญชี ระบบควบคุมภายในที่เป็นมาตรฐาน มีบุคลากรที่เหมาะสมในการทำงบการเงินและทำรายงาน
6.มีการสอบทานการบันทึกบัญชีและการควบคุมภายในของวัดโดยบุคคลภายนอกที่วัดแต่งตั้ง
7.วัดจัดทำรายงานทางการเงินและรายงานต่างๆ ตามที่สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกำหนด
8.วัดมีระบบการเปิดเผยข้อมูลทั้งข้อมูลการเงินและไม่ใช่การเงิน
9.คณะกรรมการวัดยึดแนวปฏิบัติที่ดีในการทำหน้าที่ เช่น มีวาระการประชุม มีการจดบันทึกการประชุม เป็นต้น
วัดทั้ง 16 วัดเข้าร่วมโครงการโดยสมัครใจ ถือได้ว่าเป็นวัดนำร่อง ซึ่งมีทั้งวัดใหญ่ วัดเล็ก วัดราษฎร์ วัดหลวง วัดในเมือง วัดในชนบท และวัดป่า ความหลากหลายก็เพื่อแสดงว่า แนวปฏิบัติที่ดีทั้งเก้าข้อสามารถใช้ได้กับวัดทุกประเภททุกขนาด
เพียงแต่รายละเอียดของสิ่งที่แต่ละวัดต้องทำในแต่ละแนวปฏิบัติอาจแตกต่างกันตามขนาด ลักษณะของวัด และทรัพยากรที่วัดมี ถึงปัจจุบันโครงการมีความคืบหน้าดีและคงจะปิดโครงการได้ในปีนี้ ซึ่งคณะทำงานจะทำรายงานสรุปผลของโครงการและถวายรายงานให้คณะกรรมการมหาเถรสมาคมทราบก่อนเผยแพร่เป็นการทั่วไป
หลังจากทำโครงการนี้มาสองปี ผมมีข้อคิดสามข้อที่อยากแชร์ให้ผู้ที่สนใจทราบเพื่อประโยชน์ของการผลักดันการบริหารจัดการที่ดีให้กับวัดให้ประสบความสำเร็จ
1.ต้องย้ำว่าระบบธรรมาภิบาลวัดเป็นสิ่งที่สามารถสร้างขึ้นและทำให้สำเร็จได้ แต่ต้องทำจริงจัง ทำอย่างเป็นขั้นตอน และต้องพร้อมให้เวลาเหมือนการเดินทาง เพราะในทุกวัด
การบริหารจัดการอย่างมีธรรมาภิบาล ถ้าไม่มีอยู่เดิม ก็คือการเปลี่ยนระบบการบริหารวัดจากที่มีอยู่ให้เป็นระบบใหม่ซึ่งจะมีผู้เกี่ยวข้องมาก การสื่อสาร การสร้างความเข้าใจ และความไว้เนื้อเชื่อใจจึงสําคัญ แต่ที่สำคัญสุดคือภาวะผู้นำของเจ้าอาวาส ที่เห็นประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลง และโน้มน้าวให้บุคลากรในวัดและในชุมชนสนับสนุน
2.จุดอ่อนของวัดส่วนใหญ่คือเรื่องเงิน โดยเฉพาะระบบบัญชี ที่ทุกวัดมีการลงบัญชีและทำรายงาน แต่ไม่มั่นใจว่าทำได้ถูกต้องครบถ้วนและได้มาตรฐานหรือไม่ ทำให้ทุกวัดต้องการระบบบัญชีที่จะสามารถทำได้เองอย่างถูกต้อง
สิ่งที่โครงการทำคือเข้าใจการบันทึกบัญชีที่วัดทำ จากนั้นแนะนำปรับปรุงหรือวางระบบให้ใหม่ รวมถึงฝึกบุคลากรของวัดให้สามารถลงบัญชีในระบบงานใหม่ได้ด้วยตนเอง มีเอกสารหลักฐานสนับสนุนครบถ้วน และจัดทำคู่มือการลงบัญชีของวัด เพื่อเป็นเอกสารให้ผู้สอบทานจากภายนอกสอบทานการลงบัญชีของวัด
ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ใช้เวลา ต้องอดทน เพราะเป็นเหมือนการลงทุนให้วัดมีความสามารถบันทึกการเงินของวัดได้ด้วยตัวเองอย่างเป็นระบบและถูกต้อง และถ้าวัดทำได้ ก็จะเป็นผลดีต่อวัดและสังคมในระยะยาว
3.การกำกับดูแลวัดและบทบาทของประชาชน ช่องว่างสําคัญในการกำกับดูแลวัดคือ วัดขาดทรัพยากรบุคคลที่จะช่วยวัดตอบสนองความต้องการของผู้กำกับดูแลในการรายงานข้อมูลและการปฏิบัติตามระเบียบต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง
นี่เป็นปัญหาของวัดส่วนใหญ่และนี่คือประเด็นที่ภาคประชาชนสามารถมีบทบาทช่วยเหลือได้ ช่วยวัดให้ทำในเรื่องที่พระสงฆ์ไม่ถนัดได้อย่างถูกต้อง ในโครงการธรรมาภิบาลวัดที่มูลนิธิทำ มีจิตอาสาในพื้นที่เข้ามาช่วยวัดในโครงการกว่า 50 คน ทำให้งานสามารถทำได้ต่อเนื่องและมีความสำเร็จ
นี่คือพลังที่รออยู่ ที่ประชาชนสามารถช่วยกันรักษาวัดและพระพุทธศาสนา โดยทำให้การสร้างระบบธรรมาภิบาลให้กับวัดประสบความสำเร็จ.
ดร.บัณฑิต นิจถาวร
ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล







