อย่ามองข้าม 'ไข้ดิน' ไม่ใช่แค่ไข้ธรรมดา พบผู้ป่วยแล้ว 147 ราย ดับ 5

อย่ามองข้าม 'ไข้ดิน' ไม่ใช่แค่ไข้ธรรมดา พบผู้ป่วยแล้ว 147 ราย ดับ 5

สคร.9 เตือนภัย "โรคไข้ดิน" หลังยอดป่วยพุ่ง 147 ราย เสียชีวิต 5 ราย เกษตรกร-ผู้มีโรคประจำตัว คือกลุ่มเสี่ยงสูงสุด แนะเลี่ยงลุยน้ำย่ำโคลน อาจถึงขั้นอันตรายถึงชีวิตได้

วันนี้ (25 พ.ค. 68) นายแพทย์ทวีชัย วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา ออกโรงเตือนประชาชนให้ระวัง โรคเมลิออยด์ หรือ โรคไข้ดิน หลังพบผู้ป่วยพุ่ง 147 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 5 ราย ในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 9 ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรและผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรังที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง

สถานการณ์โรคเมลิออยด์ในเขตสุขภาพที่ 9 น่าเป็นห่วง

สถานการณ์โรคเมลิออยด์ในเขตสุขภาพที่ 9 พบผู้ป่วย 147 ราย และเสียชีวิต 5 ราย โดยจังหวัดบุรีรัมย์มีผู้ป่วยสูงสุด 61 ราย เสียชีวิต 1 ราย ตามมาด้วยจังหวัดสุรินทร์ 37 ราย (ไม่มีผู้เสียชีวิต) จังหวัดนครราชสีมา 33 ราย เสียชีวิต 1 ราย และจังหวัดชัยภูมิ 16 ราย เสียชีวิต 3 ราย

กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุดคือกลุ่มผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป รองลงมาคือ 55-64 ปี และ 45-54 ปี ตามลำดับ ส่วนอาชีพที่ป่วยมากที่สุดคือ ชาวนา และ เกษตรกร
 

ไข้ดินคืออะไร? และติดเชื้อได้อย่างไร?

นายแพทย์ทวีชัย อธิบายว่า โรคเมลิออยด์เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เบอร์โคเดอเรีย สูโดมัลลิอาย (Burkholderia pseudomallei) ซึ่งพบได้ทั่วไปในดินและน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่เกษตรกรรมอย่างนาข้าว ท้องไร่ หรือสวนยางทั่วทุกภาคของประเทศไทย การติดเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทางหลัก ได้แก่:

1. การสัมผัส: สัมผัสน้ำหรือดินที่มีเชื้อปนเปื้อน โดยเชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผล

2. การกิน/ดื่ม: ดื่มน้ำไม่สะอาด หรือรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ รวมถึงการสำลักน้ำที่มีเชื้อโรค

3. การหายใจ: สูดหายใจเอาฝุ่นจากดินที่มีเชื้อเจือปนอยู่เข้าไป

หลังติดเชื้อ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการภายใน 1-21 วัน แต่อาจใช้เวลานานเป็นปีในบางราย ขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อที่ได้รับและภูมิต้านทานของแต่ละบุคคล
 

อาการและการดูแลกลุ่มเสี่ยง

อาการของโรคเมลิออยด์ไม่มีลักษณะเฉพาะเจาะจง และมีความหลากหลายคล้ายโรคติดเชื้ออื่นๆ เช่น มีไข้สูง มีฝีที่ผิวหนัง มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ หรืออาจมีการติดเชื้อเฉพาะที่ หรือแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

กลุ่มเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษคือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน, โรคไตเรื้อรัง, โรคธาลัสซีเมีย และ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เนื่องจากภูมิต้านทานของร่างกายอ่อนแอ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรง

การป้องกันโรคเมลิออยด์: ทำอย่างไรให้ปลอดภัย?

นายแพทย์ทวีชัย เน้นย้ำถึงมาตรการป้องกันที่สำคัญ เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ ดังนี้:

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัส : หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลน หรือแช่น้ำเป็นเวลานาน
  • สวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน : หากจำเป็นต้องลุยน้ำ ควรสวมรองเท้าบูทหรือถุงพลาสติกหุ้มรองเท้า เพื่อป้องกันเท้าสัมผัสน้ำโดยตรง สวมถุงมือยาง และกางเกงขายาว
  • ดูแลบาดแผล : หากมีบาดแผล ควรปิดด้วยพลาสเตอร์กันน้ำทุกครั้ง
  • สุขอนามัย : อาบน้ำชำระร่างกายทันทีหลังจากทำงานในพื้นที่เสี่ยง หรือลุยน้ำ
  • ดื่มน้ำสะอาด : ดื่มน้ำสะอาด หรือน้ำต้มสุกทุกครั้ง

หากมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ควรรีบไปพบแพทย์ทันที และแจ้งประวัติการเดินลุยน้ำให้แพทย์ทราบ เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

การป้องกันโรคเมลิออยด์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในฤดูฝนที่สภาพแวดล้อมเอื้อต่อการแพร่กระจายของเชื้อ หากท่านหรือคนใกล้ชิดมีอาการที่น่าสงสัย หรือเป็นกลุ่มเสี่ยง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที จะช่วยลดความรุนแรงของโรคและป้องกันการเสียชีวิตได้