การแก้ปัญหาคอร์รัปชัน : เมื่อเศรษฐกิจสำคัญไม่น้อยกว่าการเมือง

เวลาพูดถึงคอร์รัปชัน คนไทยจำนวนมากมักนึกถึงภาพของนักการเมือง การรับสินบน หรือเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้อำนาจโดยมิชอบ
แน่นอนว่าการเมืองเป็นองค์ประกอบสำคัญ แต่ในอีกมิติหนึ่งที่ยังถูกมองข้ามคือบทบาทของเศรษฐกิจและสังคมในการเอื้อหรือยับยั้งการทุจริต
ความเข้าใจที่ยึดโยงคอร์รัปชันไว้กับการเมืองเพียงด้านเดียวนั้น อาจทำให้แนวทางแก้ไขมีข้อจำกัด
ข้อมูลจากการศึกษาหลายชุดที่วิเคราะห์ดัชนีการรับรู้คอร์รัปชันของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ชี้ว่าประเทศที่มีเศรษฐกิจเข้มแข็ง มีระบบสวัสดิการที่ครอบคลุม และมีการพัฒนาที่ยั่งยืน มักจะมีระดับคอร์รัปชันต่ำกว่าประเทศที่ขาดองค์ประกอบเหล่านี้อย่างชัดเจน
ในชีวิตประจำวันของประชาชน ปัญหาคอร์รัปชันไม่ได้จำกัดอยู่แค่การใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่โปร่งใส เช่น การฮั้วประมูล การผูกขาดตลาด หรือการหลอกลวงผ่านช่องทางดิจิทัล
ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าเศรษฐกิจของประเทศไม่มีความเป็นธรรม และระบบรัฐไม่สามารถปกป้องสิทธิหรือผลประโยชน์ของตนได้อย่างแท้จริง
ความรู้สึกเช่นนี้นำไปสู่ความไม่ไว้วางใจในระบบ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่เปิดโอกาสให้การทุจริตหยั่งรากลึกยิ่งขึ้น
ปัจจัยโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างหนึ่งที่สัมพันธ์กับระดับคอร์รัปชันคือ ความเหลื่อมล้ำทางรายได้และโอกาส หากประเทศใดมีความเหลื่อมล้ำสูง ทั้งในแง่ของรายได้ การศึกษา และการเข้าถึงบริการของรัฐ โอกาสที่ประชาชนจะรู้สึกว่าต้องพึ่งพาเส้นสายหรือสินบนเพื่อเข้าถึงสิทธิพื้นฐานก็มีมากขึ้น
ความเหลื่อมล้ำยังส่งผลต่อวิธีคิดของผู้คน โดยเฉพาะในกลุ่มที่รู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอื่นในการเอาตัวรอดในระบบที่ไม่เป็นธรรม เช่น การยอมจ่ายใต้โต๊ะเพื่อให้ลูกได้เข้าโรงเรียนดี ๆ หรือการให้ของขวัญแก่เจ้าหน้าที่เพื่อเร่งการอนุมัติเอกสาร ในระยะยาว
ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องส่วนบุคคล แต่สะท้อนถึงความล้มเหลวของระบบเศรษฐกิจและการจัดการของรัฐ
ตัวอย่างจากประเทศที่สามารถควบคุมคอร์รัปชันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เดนมาร์ก ฟินแลนด์ หรือสิงคโปร์ ชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จในการลดคอร์รัปชันไม่ได้เกิดจากการออกกฎหมายที่เข้มงวดเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องอาศัยการจัดระเบียบโครงสร้างสังคมและเศรษฐกิจในลักษณะที่ลดแรงจูงใจในการทุจริตอย่างได้ผล
ประเทศเหล่านี้มีระบบสวัสดิการสังคมที่ครอบคลุม มีคุณภาพชีวิตของประชาชนในระดับที่มั่นคง มีช่องทางการตรวจสอบภาครัฐที่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง และมีนโยบายของภาครัฐที่เน้นความยั่งยืน
นั่นหมายถึงการเป็นรัฐที่เน้นการพัฒนาระยะยาว ที่สร้างอนาคตร่วมกันระหว่างประชาชนและผู้มีอำนาจ
รัฐที่สร้างอนาคตร่วมกันกับประชาชนด้วยการจัดสรรสวัสดิการที่เพียงพอ จะช่วยลดแรงกดดันของประชาชนในการดิ้นรนหาผลประโยชน์ส่วนตัวผ่านช่องทางที่ไม่โปร่งใส เมื่อคนมีความมั่นคงในการดำรงชีวิต มีสุขภาพดี ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ และเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างเสมอภาค
พวกเขาย่อมไม่จำเป็นต้องอาศัยระบบเส้นสายหรือสินบนเพื่อความอยู่รอด ความยุติธรรมทางเศรษฐกิจจึงกลายเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันการทุจริตโดยตรง
อีกองค์ประกอบหนึ่งที่มักถูกมองข้ามแต่มีความสำคัญอย่างยิ่งคือ ความยั่งยืน
ประเทศที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน เช่น การใช้พลังงานสะอาด การจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และการออกแบบเมืองที่เอื้อต่อคุณภาพชีวิต ล้วนมีแนวโน้มที่จะมีระดับคอร์รัปชันต่ำกว่า
ความยั่งยืนไม่ใช่เพียงเรื่องของสิ่งแวดล้อม แต่ยังรวมถึงวิธีคิดและระบบการบริหารที่ให้ความสำคัญกับอนาคตและความโปร่งใสในกระบวนการต่าง ๆ ยิ่งการพัฒนาถูกออกแบบโดยมีประชาชนมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง โอกาสในการทุจริตก็จะยิ่งลดลง
ในประเทศไทย การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันจำเป็นต้องก้าวข้ามแนวทางแบบเดิมที่มุ่งเน้นการเอาผิดรายกรณี หรือการออกกฎหมายที่เข้มงวดเป็นครั้งคราว
แน่นอนว่ากฎหมายและการบังคับใช้ที่เด็ดขาดเป็นสิ่งจำเป็น แต่เพียงลำพังไม่เพียงพอ ตราบใดที่ความเหลื่อมล้ำยังคงอยู่ ระบบสวัสดิการยังอ่อนแอ และความยั่งยืนยังไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสม ปัญหาคอร์รัปชันก็จะกลับมาในรูปแบบใหม่เสมอ
ทางออกในระยะยาวควรเริ่มจากการออกแบบระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรม ส่งเสริมการแข่งขันที่โปร่งใส พัฒนาระบบสวัสดิการที่ครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร เน้นความยั่งยืน รวมถึงการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดและติดตามนโยบายสาธารณะ
การลดคอร์รัปชันจึงไม่ใช่เพียงการลดอัตราการทุจริต แต่คือการสร้างระบบที่ทำให้การทุจริตไม่มีที่ยืนในสังคม ระบบเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีศักดิ์ศรี มีโอกาส และมีความมั่นใจว่ารัฐและประชาชนทุกคนจะมีอนาคตร่วมกันอย่างแท้จริง.







