สังคมไทยกับปัจจัยแห่งปัญหาของ การค้ามนุษย์ ในศตวรรษที่ 21

เหตุใดปัญหาการค้ามนุษย์ ผ่านการค้าประเวณีในหรือนอกราชอาณาจักร หรือขอทาน การบังคับตัดอวัยวะเพื่อทำการค้ากลับยังไม่ถูกแก้ไข
การค้า เป็นเครื่องมือหนึ่งในการดำรงอยู่ของสังคมมนุษย์ อันเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่จะอำนวยความเป็นอยู่ของเรา
เริ่มต้นจากการแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการแล้วพัฒนาไปตามลักษณะความซับซ้อนทางสังคม และขยายบริบทของการแลกเปลี่ยนสิ่งของกลายมาเป็น “แรงงาน” หรือ “การให้บริการ” โดยใช้สกุลเงินเป็นสื่อกลางแทนคุณค่าของการค้าที่ได้ตกลงกัน
แน่นอนว่าการตกลงทำการค้านั้นก็ต้องเป็นไปตามความประสงค์ของคู่ค้าทั้งสองฝ่ายการแลกเปลี่ยนถึงจะสำเร็จผลสูงสุด แต่สำหรับยุคปัจจุบันในโลกที่มีความเป็นทุนนิยมสูงและอุดมไปด้วยความเหลื่อมล้ำ
“การค้า” อาจไม่จำต้องมีความเท่าเทียมเสมอไป และหากความไม่เท่าเทียมนั้นเกิดขึ้นกับ “การใช้แรงงาน” หรือ “การให้บริการ” ผู้อ่านคิดว่าสังคมจะเผชิญกับปัญหามากแค่ไหน
“การลักลอบขนคนต่างด้าว”, “การบังคับทำงานโดยมีเวลาพักผ่อนน้อย”, “การบังคับใช้แรงงานประมง”, “การนำคนมาขอทาน”, “การบังคับให้ค้าประเวณี หรือการค้าประเวณีเด็ก”, “การค้าอวัยวะ” รวมไปถึง “การกระทำของแก๊งคอลเซ็นเตอร์”
ตัวอย่างเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสังคมไทยโดยอาศัยลักษณะความเปราะบางของกลุ่มคนในสังคม สร้างรูปแบบทางการค้าที่เอาเปรียบ ซึ่งบางบริบทก็มีการจัดการในรูปแบบ “องค์กรอาชญากรรมทั้งในประเทศ หรือข้ามชาติ”
แม้ว่าในปัจจุบันประเทศไทยจะบังคับใช้ “พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2562” อันมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อจัดการปัญหาการค้ามนุษย์ ผ่านการค้าประเวณีในหรือนอกราชอาณาจักร หรือขอทาน การบังคับตัดอวัยวะเพื่อทำการค้า
โดยจัดทำกฎหมายให้สอดคล้องกับพันธกรณีของอนุสัญญา และพิธีสารจัดตั้งกองทุนเพื่อป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ รวมทั้งแก้ไขให้ ทันต่อสถานการณ์ด้วยการบังคับใช้กับคดีที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานหรือให้บริการที่ไม่เท่าเทียม
ผ่านการอนุวัติการกฎหมายเพิ่มเติม ตามพิธีสารอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 29 พ.ศ. 2473 เพื่อประโยชน์ในการสร้างความมั่นคงทางด้านแรงงาน สังคม และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
แต่ด้วยเหตุใดปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นกลับยังไม่ถูกแก้ไข ผู้เขียนขอจำแนกเป็น 2 ปัจจัยสำคัญ ดังนี้
1.ปัจจัยกระตุ้นทางสังคม : ปัจจัยด้านนี้เป็นปัจจัยที่แปรผันไปตามสภาวะอันเป็นปัจเจกของแต่ละสังคม เป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากพัฒนาการทางสังคม วัฒนธรรม ถิ่นที่ตั้ง เศรษฐกิจ และกินความหมายเชิงลึกถึงค่านิยมทางสังคม
ยกตัวอย่างเช่น สังคมที่ประชากรขาดการเข้าถึงการศึกษา ย่อมส่งผลต่ออัตราการจ้างงานที่มีคุณภาพเพราะไม่ใช่แรงงานฝีมือจึงต้องใช้แรงงานในการแลกค่าตอบแทน
ส่งผลให้ไม่สามารถเลือกชนิดหรือประเภทของงานได้ นำมาซึ่งสถานะที่เสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงด้วยคำสัญญาเกี่ยวกับรายได้กับงานที่บอกว่ามีรายได้ดีหรือโอกาสที่ดีกว่าในต่างประเทศ,
สังคมที่มีปัญหาทางสถาบันครอบครัว สมาชิกของสังคมเหล่านี้โดยเฉพาะเด็กและผู้หญิงมักประสบกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว นำมาซึ่งการถูกหลอกหรือบีบบังคับให้เข้าสู่สถานการณ์ที่เสี่ยง และเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ผ่านการถูกบังคับค้าบริการทางเพศ
สังคมที่ขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนาการหลั่งไหลเข้ามาเพื่อหาโอกาสทางการทำงานในเมืองใหญ่ย่อมเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ค้ามนุษย์ หรือผู้บังคับใช้แรงงานหรือบริการหลอกลวงได้มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ประเทศไทยยังเป็นศูนย์กลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้มีการเคลื่อนย้ายคนทั้งในประเทศและข้ามชาติ เป็นภูมิศาสตร์ที่เอื้อต่อการกระทำความผิดในระดับองค์กรอาชญากรรมค้ามนุษย์ข้ามชาติ
สถานะปัจจัยทางสังคมเหล่านี้เมื่อนำมารวมกันจึงเป็นตัวกระตุ้นปัญหาอันเป็นความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ บังคับใช้แรงงานหรือบริการได้เป็นอย่างดีภายใต้เงื่อนไขที่เรียกว่า “สภาวะเศรษฐกิจ”
2.ปัจจัยทางการบังคับใช้กฎหมาย : ปัจจัยข้อนี้ ส่วนแรก เป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับสังคมที่ขาดประชากรที่มีคุณภาพ นำมาซึ่งการไม่เข้าใจกลไกการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายทำให้กระบวนการยุติธรรมไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่
เห็นได้จากสถิติจำนวนคดีที่พนักงานอัยการได้รับสำนวนจากพนักงานสอบสวนว่ามีการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปี ๒๕๖๗ มีเพียง ๑๗๖ คดี ซึ่งไม่สะท้อนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม
ส่วนที่สอง คือ ปัญหาในการพิสูจน์พยานหลักฐานสำคัญแห่งคดี ยกตัวอย่างเช่น คดีขนคนต่างด้าวมาบังคับใช้แรงงานประมง หรือค้าขายในลักษณะเอาคนลงเป็นทาส อันเป็นปัญหาที่พบมากตามจังหวัดชายแดน กล่าวคือ คดีเหล่านี้ผู้เสียหายเป็นคนต่างด้าวหรือเป็นบุคคลที่มีที่อยู่ไม่แน่นอน
เมื่อประกอบกับพนักงานสอบสวนไม่ได้สอบพยานล่วงหน้า หรือศาลไม่อนุญาตให้โจทก์สืบพยานผู้เสียหายล่วงหน้า ทำให้เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลจึงเป็นการยากที่อัยการจะสามารถติดตามผู้เสียหายมาเบิกความในคดีได้ ทำให้เกิดความลำบากในการเอาผิดจำเลยแห่งคดี
คดีการหลอกลวงออนไลน์ของกลุ่ม scammer ที่ “ชเวโกะโก” ประเทศเมียนมา ที่มีการขนเหยื่อผ่านประเทศไทยเข้าสู่ประเทศเมียนมาโดยการหลอกลวงรับสมัครงานในประเทศไทย
เมื่อเหยื่อเดินทางมายังประเทศไทยจึงควบคุมตัวส่งไปบังคับใช้แรงงาน คดีเช่นนี้ แม้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา5 ได้ขยายความขอบเขตการบังคับให้กินความหมายถึงประเทศที่เป็นทางผ่านไปกระทำความผิด เพื่อให้ศาลไทยสามารถบังคับใช้โทษกับ “นายทุนต่างชาติ” ที่เป็นผู้กระทำผิดฐานค้ามนุษย์
แต่ในความเป็นจริงพนักงานสอบสวนหรืออัยการไม่สามารถหาพยานประกอบจากบุคคลที่เกี่ยวข้องได้เลยว่ามีการ “ขนกลุ่มผู้เสียหายผ่านประเทศไทย” นำมาซึ่งปัจจัย ส่วนที่สาม คือ ปัญหาการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องของเจ้าหน้าที่รัฐ ในการช่วยเหลือกระบวนการการค้ามนุษย์
เมื่อนำปัจจัยแห่งปัญหาทั้ง ๒ มาประกอบกัน ย่อมเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่เปราะบางเสี่ยงต่อการกระทำที่เป็นความผิดตาม “พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.๒๕๕๑ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.๒๕๖๒”
แม้จะมีความเจริญทางเทคโนโลยีตามยุคตามสมัย เทคโนโลยีก็อาจเป็นแค่เครื่องมือที่ใช้อำนวยในการกระทำความผิด ก็เท่านั้น.







