สังคมอนาคิสต์เพื่อระบบนิเวศ (Green Anarchism)

สังคมอนาคิสต์เพื่อระบบนิเวศ (Green Anarchism)

Green Anarchism คติอนาคิสม์ - การบริหารจัดการตนเองของประชาชนแบบสหกรณ์และเครือข่ายสหพันธ์สหกรณ์ ที่เน้นเรื่องการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศ (ธรรมชาติสภาพแวดล้อม)

Anarchism เป็นพวกสังคมนิยมที่เชื่อเรื่องความเสมอภาค และเสรีภาพของประชาชน ปฏิเสธระบบทุนนิยมเหมือนกับพวกสังคมนิยมสายมาร์กซิสต์

แต่ Anarchism ปฏิเสธรัฐเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ เพราะเห็นว่ารัฐเป็นกลไกอำนาจรวมศูนย์ที่ใช้สิทธิอำนาจ (Authority) ของรัฐในการกดขี่เสรีภาพทำให้ประชาชนไม่ได้มีอิสระอย่างแท้จริง

คติ Anarchism เสนอรูปแบบการบริหารจัดการสังคมโดยไม่มีรัฐบาลกลาง แต่ใช้วิธีการจัดตั้งประชาคม (Commune) แบบสหกรณ์ ที่สมาชิกตกลงร่วมมือกันอย่างสมัครใจ ในระดับท้องถิ่น โรงงาน หน่วยการผลิตต่างๆ

ส่วนในระดับภูมิภาค ประชาคมต่างๆ ร่วมกัน จัดตั้งกันเป็นเครือข่ายสมาพันธ์ (Federal) ของประชาคมต่างๆ ที่แต่ละประชาคม โดยที่แต่ละประชาคมต่างยังคงเป็นอิสระ เพื่อค้าขาย, ร่วมมือกันในเรื่องต่างๆ ที่ต้องการจัดการในขนาดที่ใหญ่ขึ้น

กล่าวโดยย่อคือ Anarchism มีเป้าหมายในการสร้างสังคมที่เน้นความเสมอภาคและอิสรภาพควบคู่กัน ต่างจากพวกมาร์กซิสต์ที่เน้นเรื่องเสมอภาค และการปกครองโดยเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ (คนงาน)

คติ Green Anarchism เน้นเรื่องการจัดการองค์กรทางสังคมเพื่อความเป็นธรรมและอิสรภาพ รวมทั้งการสร้างความพอใจให้ประชาชน และร่วมมือกันพัฒนาสังคมในแนวลดการทำลายระบบนิเวศเพื่อให้สังคมเจริญก้าวหน้าในเชิงคุณภาพชีวิตได้อย่างยั่งยืนถึงคนรุ่นหลัง

Green Anarchism มองว่าอารยธรรมของมนุษย์นั้นสร้างมาจากการขูดรีดทรัพยากรทางธรรมชาติมาผลิตสินค้าและบริการเพื่อสนองความพอใจของมนุษย์

ก่อให้เกิดระบบเศรษฐกิจการเมืองแบบศักดินาและทุนนิยมใช้อำนาจลดหลั่นกันมาเป็นชั้นๆ (Hierarchy) ผ่านการแบ่งงานกันทำและการสะสมทุนในระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมที่เน้นการเติบโตและกำไรของธุรกิจเอกชน

ระบบทุนนิยมและจักรวรรดินิยมคือตัวการสำคัญที่ทำให้ระบบนิเวศ/สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม

โครพอตกิ้น และ Elisee Reclus เสนอว่าต้องใช้นโยบายลดการเติบโตและการกระจายการลงทุน 

สังคมอนาคิสต์เพื่อระบบนิเวศ (Green Anarchism)

ปีเตอร์ โครพอตกิ้น (2355-2414) เป็นนักอนาคิสต์เพื่อระบบนิเวศคนแรกๆ ที่วิจารณ์ผลกระทบของการพัฒนาอุตสาหกรรม การทำลายสิ่งแวดล้อมและความรู้สึกแปลกแยกของคนงาน ต่างจากพวกมาร์กซิสต์ผู้ต้องการให้ระบบสังคมนิยมพัฒนาอุตสาหกรรม แข่งขันกับระบบทุนนิยม

โครพอตกิ้นเสนอให้กระจายการผลิตสินค้าที่จำเป็นสู่ชุมชนขนาดเล็ก (Localization) ที่เขามองว่าจะทำให้ประชาชนเพิ่มความสัมพันธ์กับที่ดิน (ธรรมชาติ) และช่วยกันลดการทำลายสิ่งแวดล้อม

โครพอตกิ้นเสนอว่า เราสามารถสนองความต้องการทางเศรษฐกิจที่จำเป็นของประชาชนได้ โดยการทำเกษตรแบบ Horticulture การทำเกษตรแบบผสมผสานโดยวิธีธรรมชาติ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

การควบคุมการเติบโต (Degrowth) และการกระจายการผลิตเชิงอุตสาหกรรม (Decentralization) ไปสู่ชุมชนต่างๆ แทนการผลิตแบบขนานใหญ่ในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในเมือง

โครพอตกิ้นยังวิจารณ์เรื่องระบบการแบ่งงานกันทำระหว่างแรงงานสมองและแรงงานที่ใช้มือ และระหว่างชาวนาในชนบทและคนงานในเมือง

เขาเห็นว่าเราควรจัดตั้งองค์กรทางสังคมแบบคอมมูน ที่ส่งเสริมให้สมาชิกจะทำงานหลายอย่างได้อย่างยืดหยุ่น ทั้งเพื่อการลดความแปลกแยก เพิ่มความพอใจ เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต

Elisee Reclus (1830-1905) นักภูมิศาสตร์ชาวอนาคิสต์ฝรั่งเศส วิจารณ์ว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมทำให้เกิดการทำลายป่าไม้แถบแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ

สะท้อนถึงความป่าเถื่อนของอารยธรรมสมัยใหม่ที่กดขี่ทั้งคนงานและสภาพแวดล้อม เพื่อการสะสมทุนของระบบนายทุน

Reclus เป็นคนแรกที่เสนอ “การปลดปล่อยในทุกด้าน” (total liberation) คือปลดปล่อยทั้งแรงงานและสัตว์ต่างๆ จากการถูกกดขี่โดยระบบทุนนิยม

การสังเคราะห์เรื่องสิ่งแวดล้อมและความยุติธรรมทางสังคมเข้าด้วยกันของโครพ๊อตกิ้นและ Reclus เป็นการวางพื้นฐานให้กับสังคมนิยมเพื่อระบบนิเวศ (Eco-Socialism)

มีนักสังคมนิยมและชาวอนาคิสต์คนอื่นๆ เช่น เอ็มมา โกลด์แมน, เบริคแมน ที่ส่งเสริมให้ใช้คติอนาคิสม์เป็นเครื่องมือในการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างมนุษย์และโลกธรรมชาติ 

ความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมของพวกอนาคิสต์ยุคแรกๆ ต่อมาเป็นพื้นฐานของขบวนการ Green Anarchism ซึ่งมาจากสมาชิกกลุ่มซ้ายใหม่บางคนในคริสต์ศตวรรษที่ 1960

พวกเขาเสนอการกระจายการผลิตทั้งเกษตรและอุตสาหกรรมไปสู่ชุมชนขนาดเล็ก เพื่อความเป็นธรรมทางสังคม และเพื่อลดการทำลายธรรมชาติสภาพแวดล้อม

ตั้งแต่ทศวรรษ 1960 แนวคิดสำคัญของคติอนาคิสม์ เช่น ประชาชนเข้าไปร่วมบริหารจัดการโดยตรง (Direct Action) และการจัดองค์กรแบบประชาชนคมสหกรณ์ (Community Organization) ได้รับความสนใจจากนักอนุรักษ์สภาพแวดล้อมหัวก้าวหน้าเพิ่มขึ้น

พวกเขาร่วมกันคิดหาทางออกเพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจสังคมใหม่ที่เน้นการกระจายอำนาจการบริหารไปสู่ชุมชนท้องถิ่น และการส่งเสริมความหลากหลาย (Diversity) ทั้งทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรม

Murray Bookchin (2464 -2543) นักอนุรักษ์สภาพแวดล้อม ผู้เริ่มจากการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องอันตรายของการใช้สารเคมีฆ่าแมลง เสนอแนวคิดเรื่องระบบนิเวศทางสังคม (Social Ecology)

ว่าการจัดองค์กรทางสังคมแบบใช้อำนาจรวมศูนย์และลดหลั่นกันไปทีละขั้น (Hierarchy) แบบระบบข้ารัฐการ คือรากฐานที่สำคัญของปัญหาความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม และทำให้เกิดผลทำลายล้างทางสังคมด้วย

ในปี 2516 Arne Naess ชาวนอร์เวย์ เสนอเรื่อง นิเวศวิทยาเชิงลึก (Deep Ecology) ปฏิเสธการมองโลกแบบมนุษย์สำคัญที่สุด (Anthropocentrism)

และเสนอให้มองโลกแบบถือว่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่างสำคัญเท่ากันที่มนุษย์ควรช่วยอนุรักษ์และฟื้นฟู เพราะสิ่งมีชีวิตทุกอย่างรวมทั้งมนุษย์ต้องพึ่งพาอาศัยกัน จึงจะอยู่รอดและพัฒนาได้ดี

นักวิชาการในแนวอนาคิสต์เพื่อระบบนิเวศรุ่นต่อมาได้เสนอว่า แทนที่เราจะจัดองค์กรสังคมมนุษย์ ประเทศหรือรัฐชาติ (Nation-State)

เราควรจัดองค์กรทางสังคมของมนุษย์แบบ Bio-Region ชีวเขตนิยม คือ แบ่งเป็นชุมชนต่างๆ ที่เป็นอิสระ ตามขอบเขตวิถีทางของธรรมชาติสภาพแวดล้อมมรท้องถิ่น

 ชุมชนขนาดกลาง ขนาดเล็ก (ประชากรไม่เกิน 10,000 คน) จะพึ่งตนเองได้ดีกว่าและดูแลการใช้ทรัพยากรในชุมชนแบบหมุนเวียนยั่งยืนได้ดีกว่า มีความเป็นธรรม เป็นประชาธิปไตยได้มากกว่าชุมชนขนาดใหญ่ แบบจังหวัด ภูมิภาค ประเทศ 

นี่คือแนวคิดอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมแบบชาวอนาคิสต์ที่แตกต่างไปจากทั้งระบบทุนนิยมและสังคมนิยม โดยรัฐที่เน้นพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่พอๆ กัน.