ฝุ่น PM 2.5 ภาคเหนือ เฝ้าระวังต่อเนื่อง บกปภ.ช. ระดมลดจุดความร้อน

ฝุ่น PM 2.5 ภาคเหนือ เฝ้าระวังต่อเนื่อง บกปภ.ช. ระดมลดจุดความร้อน

สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ภาคเหนือ ยังคงเฝ้าระวังต่อเนื่อง บกปภ.ช. ระดมกำลังลดจุดความร้อนและควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่น รวมถึงเตรียมพร้อมรับมือหมอกควันจากประเทศเพื่อนบ้าน

วันนี้ (10 มี.ค. 68) ณ ห้องกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจัดประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เพื่อติดตามสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) โดยมีผู้บริหาร ปภ. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมฯ ขอให้พื้นที่ภาคเหนือติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์ฝุ่นอย่างใกล้ชิด เตรียมพร้อมรับมือหมอกควันจากประเทศเพื่อนบ้าน บูรณาการทุกภาคส่วนเพิ่มความเข้มข้นในการลดจำนวนจุดความร้อนและควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นให้ได้มากที่สุด เพื่อให้คุณภาพอากาศกลับมาดีในทุกพื้นที่

นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะผู้อำนวยการกลาง/เลขานุการ กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า สถานการณ์ฝุ่นในวันนี้โดยภาพรวมถือว่าดีอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยภาคใต้คุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ดีถึงดีมาก ส่วนภาคกลาง ภาคตะวันตก กรุงเทพมหานครและปริมณฑล คุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์สีเหลือง ภาคตะวันออก มีค่าฝุ่นละอองสูงขึ้นกว่าเมื่อวานเล็กน้อย ซึ่งมีค่าฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม ที่จังหวัดปราจีนบุรี

ส่วนค่าฝุ่นละอองใน 17 จังหวัดภาคเหนือ สถานการณ์ดีขึ้น โดยเฉพาะภาคเหนือตอนล่าง มีค่าฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานสีส้ม จำนวน 3 สถานี สถานการณ์ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนภาพรวมของประเทศมีค่าฝุ่นละอองสูงสุดอยู่ที่ ตำบลอ้อมน้อย อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ตำบลบ้านต๋อม อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี ตำบลรอบเมือง อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี ตำบลมหาชัย อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ตามลำดับ

สำหรับข้อมูลจุดความร้อน (Hotspot) พบว่า วันนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 285 จุด กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดตาก แม่ฮ่องสอน ชัยภูมิ เพชรบูรณ์ และอุบลราชธานี โดยจุดความร้อนเกิดในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ป่าอุทยานแห่งชาติ และพื้นที่การเกษตรมากที่สุด จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์ฝุ่นอย่างใกล้ชิด โดยบูรณาการทุกภาคส่วนในพื้นที่ รวมถึงเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินงานโดยใช้มาตรการของรัฐบาลและกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ดำเนินการลดจำนวนจุดความร้อนให้ได้มากที่สุด และควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่น เพื่อลดปริมาณฝุ่นให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อทำให้คุณภาพอากาศกลับมาดีในทุกพื้นที่

ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามมาตรการของรัฐบาลอย่างเข้มข้นเพื่อลดฝุ่นละอองในอากาศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการป้องกันปราบปรามและบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมการเผาอย่างเด็ดขาด ซึ่งกรมป่าไม้ได้ติดตามสถานการณ์จุดความร้อนในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พบว่า วันนี้มีจุดความร้อนในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ รวม 95 จุด แยกเป็น พื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ จำนวน 73 จุด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 9 จุด ภาคกลาง จำนวน 12 จุด และภาคใต้ 1 จุด ดำเนินคดีกับผู้ที่เผาป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้ว 28 คดี

ด้านกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รายงานว่า ในวันนี้พบจุดความร้อนในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ รวม 124 จุด โดยจุดความร้อนอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ 120 จุด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 จุด ปัจจุบันได้ประกาศปิดพื้นที่ป่าอนุรักษ์แล้วทั้งสิ้น 138 แห่ง สำหรับการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 68 มีการปฏิบัติในพื้นที่ป่า รวม 389 ครั้ง อาทิ การดับไฟป่า การลาดตระเวนป้องกันการเผา การจัดทำแนวกันไฟ การตั้งจุดตรวจสกัด นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้รายงานสถานการณ์การหีบอ้อยเพื่อผลิตน้ำตาลทรายในฤดูการผลิตปีนี้ ลดลงเมื่อเทียบกับฤดูการผลิตในปี 2561/2562 โดยมีการรับอ้อยเผาเข้าหีบสะสม ร้อยละ 14.41 ส่งผลให้ลดพื้นที่เผาป่าลงได้กว่า 4.88 ล้านไร่ 

สำหรับการดำเนินงานในระดับพื้นที่ ได้ปฏิบัติสอดรับกับมาตรการของรัฐบาล โดยเฉพาะมาตรการป้องกันปราบปรามและบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมการเผาอย่างเด็ดขาด ซึ่งจังหวัดลำพูน ได้ตรวจพบจุดความร้อนสะสมในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 8 มี.ค. 68 จำนวน 970 จุด จังหวัดได้ดำเนินตามแผนปฏิบัติการการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในพื้นที่ทั้ง 8 อำเภอ โดยการเฝ้าระวังแบบเชิงรุกในพื้นที่สำคัญ เพื่อป้องกันการเกิดไฟป่าด้วยการใช้ข้อมูลจากอากาศยานไร้คนขับในการค้นหาจุดเกิดควันไฟบนภูเขาสูง รวมถึงการประสานการปฏิบัติการดับไฟป่า ในพื้นที่สูงชันด้วยอากาศยานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนบูรณาการควบคุมไฟป่าจากฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จิตอาสา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้มีการลาดตระเวนดับไฟป่า รวมจำนวน 604 ครั้ง ประกาศปิดป่า ทั้งป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติ รวม 15 แห่ง และดำเนินคดีเกี่ยวกับการเผาป่า รวม 6 คดี นอกจากนี้ ยังได้ติดตามสถานการณ์และตรวจสอบจุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้ โดยให้อำเภอและตำบลลงพื้นที่ตรวจสอบและประชาสัมพันธ์ เพื่อทำความเข้าใจกับเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อสร้างการรับรู้และป้องปรามการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม 

ด้านนายจำนง สวัสดิ์วงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะประธานการประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า ในห้วงต่อไป 17 จังหวัดภาคเหนือ มีแนวโน้มที่ฝุ่นละอองจะรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากกระแสลมมีการเปลี่ยนทิศทางและอาจพัดพาหมอกควันจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในประเทศได้ ดังนั้น จึงขอความร่วมมือเน้นย้ำทุกหน่วยงานยังคงบูรณาการการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 อย่างต่อเนื่อง รวมถึงเพิ่มความเข้มข้นในการปรับมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM2.5 ต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในพื้นที่ โดยเฉพาะให้ความสำคัญกับการลดจำนวนจุดความร้อน การควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่น การบังคับใช้กฎหมายและ ดำเนินคดีกับผู้ที่เผาป่าอย่างเข้มงวด เพื่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

ในส่วนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 68 ได้ร่วมกับกองทัพบก (ทบ.) สนับสนุนการปฎิบัติภารกิจแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ร่วมกับกองทัพภาคที่ 3 นำเฮลิคอปเตอร์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย KA-32 ขึ้นบินทิ้งน้ำดับไฟป่าในพื้นที่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อดับไฟป่าในพื้นที่สูงชัน รวมบินทิ้งน้ำดับไฟป่าทั้งสิ้น 12 เที่ยวบิน ปริมาณน้ำทั้งสิ้น 36,000 ลิตร

ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจะติดตามสถานการณ์และรายงานข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ให้ประชาชนทราบเป็นระยะ ทาง Facebook กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และ X @DDPMNews หากประชาชนต้องการแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือ สามารถแจ้งเรื่องได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 หรือทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” @1784DDPM ได้ตลอด 24 ชั่วโมง"