จำเลยลูกหนี้ ไม่ยอมออกไปจากที่ดินขายทอดตลาด

กรณีพิพาทที่โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ ไม่ว่าจะเป็น หนี้จากการผิดสัญญา หรือจากมูลละเมิด เมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ ตามฟ้องหรือบางส่วน
หากลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ยอมชำระหนี้ โจทก์สามารถยื่นคำขอต่อศาลให้ออกคำบังคับ ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ ไม่ว่าเป็น สังหาริมทรัพย์ หรืออสังหาริมทรัพย์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แล้วขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ได้
แต่เดิมผู้ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากการขายทอดตลาดในชั้นการบังคับคดีของศาล อาจประสบปัญหาคือ จำเลยที่เป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ถูกขายทอดตลาดและบริวารไม่ยอมย้ายออกหรือประวิงเวลาการย้ายออกจากที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ถูกขายทอดตลาดไปแล้ว
ในปีพ.ศ.2560 มีการตราพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่30) พ.ศ.2560 แก้ไขเพิ่มเติมประกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหลายมาตรา
และได้ยกเลิกความในลักษณะ 2 การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ตามมาตรา271ถึงมาตรา323ของภาค4 วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาและการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่29 )พ.ศ.2558 และให้ใช้ความใหม่แทน
บทบัญญัติใหม่ เริ่มตั้งแต่ มาตรา271 ถึงมาตรา367 ซึ่งมีรายละเอียดวิธีการ หลักการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมไปจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเดิมมาก
การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งดังกล่าวมีเหตุผลที่สำคัญคือ เพื่อแก้ไขข้อขัดข้องในการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ล่าช้า ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนผู้มีอรรถคดี และปิดโอกาสในการประวิงคดี
บทบัญญัติที่น่าสนใจคือมาตรา 334 ที่บัญญัติว่า
“มาตรา 334 เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีโอนอสังหาริมทรัพย์ที่ขายให้แก่ผู้ซื้อ หากทรัพย์สินที่โอนนั้นมีลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือบริวารอยู่อาศัย และลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือบริวารไม่ยอมออกไปจากอสังหาริมทรัพย์นั้น
ผู้ซื้อชอบที่จะยื่นคําขอฝ่ายเดียวต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตศาลให้ออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือบริวารออกไปจากอสังหาริมทรัพย์นั้นโดยให้นําบทบัญญัติมาตรา 271 มาตรา 278 วรรคหนึ่ง มาตรา 351 มาตรา 352 มาตรา 353 วรรคหนึ่ง (1) และวรรคสอง มาตรา 354 มาตรา 361 มาตรา 362 มาตรา 363 และมาตรา 364 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ทั้งนี้ ให้ถือว่าผู้ซื้อเป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษา และลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือบริวารที่อยู่อาศัยในอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นลูกหนี้ตามคําพิพากษาตามบทบัญญัติดังกล่าว”
บทบัญญัติดังกล่าว มีผลให้ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์จากการขายทอดตลาด เพื่อนำเงินไปชำระหนี้ตามคำพิพากษา ที่เคยประสบปัญหา จำเลยผู้เป็นลูกหนี้และบริวารไม่ยอมย้ายออกจากอสีงหาริมทรัพย์ที่ซื้อมาจากการขายทอดตลาด นั้น
สามารถยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตศาลให้ออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารออกไปจากอสังหาริมทรัพย์นั้นได้ โดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่
บทบัญญัติของมาตรา334 ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
มีคดีที่พิพาทโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ พร้อมดอกเบี้ยที่ ศาลจังหวัดจันทบุรี คดีถึงที่สุดในชั้นศาลอุทธรณ์ภาค 2 โดยศาลอุทรณ์ภาค2 พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ เป็นเงิน11,390,000บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ปรากฏว่าจำเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษา
โจทก์ยื่นคำร้องยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างขายทอดตลาด เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา โดยนาย ณ เป็นผู้ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี เมื่อผู้ซื้อรับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ดังกล่าว จำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาและบริวารยังคงอาศัยในที่ดินที่ที่ขายทอดตลาดไปแล้ว
นาย ณ จึงยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดจันทบุรี ตามมาตรา334 ให้ออกหมายบังคับให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดิน ศาลจังหวัดจันทบุรีออกหมายบังคับคดีให้ดำเนินการตามกฎหมาย เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศ ขับไล่ จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดจันทบุรีให้เพิกถอนกระบวนการออกหมายบังคับคดี ศาลจังหวัดจันทบุรียกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค2
ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค จำเลยโต้แย้งว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา334 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา26 วรรคหนึ่ง มาตรา 33วรรคหนึ่ง และมาตร 37 วรรคหนึ่ง ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค2 ส่งคำโต้แย้งให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 212 ศาลอุทธรณ์ภาค2 จึงส่งคำโต้แย้งดังกล่าวของจำเลย ให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว มีคำวินิจฉัยที่ 1/2568 วันที่15 มกราคม2568 ความสำคัญว่า
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา334 เป็นมาตรการหรือกลไกที่จำเป็น เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่มุ่งรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมและความเป็นธรรมของคู่ความและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย
โดยลดขั้นตอนในการเข้าครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้ซื้อจากการขายทอดตลาดและใช้ประโยชน์จากทรัพย์ที่ตนซื้อได้เร็วยิ่งขึ้น เป็นการคุ้มครองผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์จากการขายทอดตลาดโดยคำสั่งศาล มิใช่การเกิดข้อพิพาทแพ่งขึ้นใหม่เป็นอีกคดีหนึ่งที่ต้องพิจารณาคดีจนศาลมีคำพิพากษาและออกคำบังคับอีกครั้ง
ทำให้กระบวนการบังคับคดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ป้องกันการประวิงคดี สร้างความเชื่อมั่นต่อกระบวนการขายทอดตลาด ทำให้ราคาทรัพย์มีมูลค่าที่เหมาะสมกับความเป็นจริง เป็นประโยชน์ต่อเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษา ตลอดจนสังคมระบบเศรษฐกิจของประเทศ
ไม่กระทบต่อสิทธิหรือเสรีภาพของลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวาร เป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน ไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ ไม่กระทบศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลไม่กระทบเสรีภาพในเคหสถาน และไม่กระทบต่อสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล
จึงวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา334ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา26 วรรคหนึ่ง มาตรา33 วรรคหนึ่งและมาตรา37 วรรคหนึ่ง







