2 ปีบริบูรณ์ ผ่าน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ พ.ศ. 2565

2 ปีบริบูรณ์ ผ่าน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ พ.ศ. 2565

การดำรงอยู่และพัฒนาการของสังคม ย่อมขึ้นอยู่กับข้อตกลงร่วมกันอันเป็นกรอบเงื่อนไข ที่ทำหน้าที่คุ้มครองสิทธิ เสรีภาพระหว่างกัน ซึ่งในยุคปัจจุบันหลายคนจะรู้จักในนาม “สัญญาประชาคม หรือ รัฐธรรมนูญ”

แน่นอนว่ารัฐในฐานะผู้ต้องรักษาไว้ซึ่งสิทธิดังกล่าว ย่อมมีหน้าที่สร้างกฎเกณฑ์ผ่านแนวคิดบางประการเพื่อธำรงไว้ซึ่งความสงบสุขแห่งสังคม และแนวคิดที่เข้าถึงประชาชนมากที่สุดย่อมหนีไม่พ้นสิทธิขั้นพื้นฐานตามหลักการของ “สิทธิมนุษยชน” 

สิทธิมนุษยชน ย่อมหมายถึง ศักดิ์และสิทธิในความเป็นมนุษย์ อันมองผ่านเสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล โดยมีมาตรวัดที่เรียกว่า “พันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชน” ซึ่งองค์การสหประชาชาติกำหนดไว้เป็นมาตรฐานสากล

เพื่อให้ประเทศคู่ภาคียึดถือและปฏิบัติตาม  ณ ปัจจุบัน มีจำนวน 8 ฉบับ ที่ไทยเข้าร่วมเป็นภาคีและได้รับการรับรองหรือคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ

หนึ่งในนั้น คือ “อนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี” และ “อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ”

ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 โดยเริ่มบังคับใช้วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 อันเป็นการยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย มีสาระสำคัญ คือ 

1. กำหนดการกระทำต้องห้ามโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ผ่านบทลงโทษที่ชัดเจน กล่าวคือ จำกัดอำนาจของเจ้าหน้าที่ซึ่งกระทำในลักษณะที่ล้นพ้นต่อผู้เข้าสู่กระบวนการผ่านการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จเพื่อคำรับสารภาพ ข่มขู่หรือขู่เข็ญอันเป็นการเลือกปฏิบัติไม่ว่าในรูปแบบใด

หรือการกระทำที่มีลักษณะบังคับให้สูญหายเพื่อประโยชน์บางประการในทางคดี และการลงโทษที่รุนแรงเกินความจำเป็นอันแสดงถึงความไร้มนุษยธรรม นำมาซึ่งการลดทอนหรือย่ำยีศักดิ์ศรีด้วยอำนาจควบคุมตัวหรืออำนาจบังคับบัญชา

กำหนดโทษที่รุนแรงไว้ที่จำคุกตั้งแต่ 15-30 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับสามแสนถึงหนึ่งล้านบาท ในกรณีที่ทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย 

2. กำหนดช่องทางการดำเนินคดีที่โปร่งใสไม่ยึดโยงกับเจ้าหน้าที่ที่อาจเป็นผู้กระทำผิด กล่าวคือ มาตรา 29 ประกอบมาตรา 34 แห่ง พ.ร.บ. ฉบับนี้ กำหนดให้ผู้ที่พบเห็นการกระทำที่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ สามารถแจ้งพนักงานฝ่ายปกครอง หรือพนักงานอัยการ รวมถึงคณะกรรมการที่ได้รับมอบหมาย

ให้ดำเนินการสอบสวนความผิดได้ทุกท้องที่ ไม่ผูกพันเพียงท้องที่ที่ความผิดได้เกิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อันอาจจะเป็นการดำเนินการทับซ้อนในสถานะพนักงานสอบสวนที่มีอำนาจและผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด

โดยกำหนดให้ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นศาลที่มีเขตอำนาจเหนือคดีความ และให้รวมถึงคดีซึ่งผู้กระทำความผิดเป็นบุคคลซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหารในขณะกระทำความผิดด้วย ลดความคลุมเคลือกับการตั้งคำถามจากสังคมในประเด็นเจ้าหน้าตำรวจ และทหารกระทำความผิด 

3. มุ่งสร้างมาตรฐานผ่านการป้องกัน กล่าวคือ กำหนดมาตรการให้มีการบันทึกภาพและเสียงขณะจับและควบคุมตัวตลอดกระบวนการ  และหากมีการควบคุมตัวให้แจ้งพนักงานอัยการและนายอำเภอในท้องที่ที่มีการควบคุมตัวโดยทันที

โดยต้องมีการยืนยันการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบอันไม่เป็นการละเมิดต่อพระราชบัญญัติด้วยการต้องส่งบันทึกข้อมูลสภาพร่างกายและจิตใจของผู้ถูกควบคุมตัว ทั้งก่อนควบคุมและก่อนการปล่อยตัวเสมอ ตามมาตรา 22 ประกอบมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัตินี้ 

เห็นได้ว่า พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ สร้างมาตรฐานทางพันธกรณีสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยไว้เป็นอย่างดีผ่านหลักการที่ผู้เขียนได้กล่าวไป

แต่ในความเป็นจริงผ่านการบังคับใช้มาเป็นระยะเวลา 2 ปีเต็มกลับพบเจอปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อวัตถุประสงค์ของกฎหมาย อยู่ 4 ประการ ดังนี้  

1. การตีความนิยามของการกระทำความผิด และลักษณะของการกระทำผิดที่แยบยลมากขึ้น ประเด็นนี้เกิดจากหน่วยงานที่รับเรื่องร้องเรียนตีความนิยามของความผิดตามพระราชบัญญัติที่แตกต่างกันออกไป ยังไม่ปรากฏมาตรฐานหรือหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการตีความ

กอปรกับผู้กระทำความผิดกระทำโดยแยบยลให้ไม่ปรากฏร่องรอยบาดแผล จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่พระราชบัญญัติกำหนดไว้ เช่น นิยามการควบคุมตัว กับกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้วิธีการชวนไปดื่มกาแฟแทนการควบคุมตามปกติ

หรือการทรมานที่ต้องเป็นการได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ตรวจไม่พบบาดแผลทางกายในทางกลับกันกลับพบบาดแผลทางใจที่ไม่สามารถวัดความรุนแรงผ่านคำว่า “ทรมาน” ได้ตามพระราชบัญญัตินี้

2. เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมขาดความเข้าใจในบริบทแห่งคดี สุ่มเสี่ยงต่อการกระทำความผิดเสียเองและการดำเนินคดีที่ล่าช้า

กล่าวคือ การขาดความเข้าใจของเจ้าพนักงานย่อมไม่นำมาซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติที่คุ้มครองเสรีภาพของผู้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในมิติความเป็นสิทธิมนุษยชน จึงมีการกระทำแบบเดิม ๆ อย่างที่เคยปฏิบัติตาม ๆ กันมา

เป็นเหตุให้เกิดการกระทำความผิดขึ้น และเมื่อเกิดความผิดขึ้นแล้วก็นำมาซึ่งการช่วยปกปิดความผิด ผ่านการไม่แจ้งความคืบหน้าแห่งคดีและทำคดีล่าช้าเพื่อช่วยเหลือกันเอง

ในประเด็นนี้ มีการเก็บข้อมูลจาก “มูลนิธิผสานวัฒนธรรม” ที่เข้าไปช่วยเหลือผ่านการร้องเรียนเข้าสู่กระบวนการในระยะเวลา 2 ปี จำนวน 22 คดี มีเพียง 1 คดีเท่านั้นที่ขึ้นสู่ศาล

3. การร้องเรียนในฐานะผู้พบเห็นของประชาชนไม่เกิดขึ้นจริง เนื่องด้วย เจ้าหน้าที่รัฐแสดงท่าทีบอกปัด ปฏิเสธการรับเรื่อง นำมาซึ่งการสร้างภาระให้ประชาชนที่ต้องแสวงหาข้อเท็จจริงด้วยตนเอง เช่น เจ้าหน้าที่ปฏิเสธหน้าที่และแจ้งให้ประชาชนผู้แจ้งเรื่องร้องเรียนไปหาพยานหลักฐานด้วยตนเอง

4. ปัญหาคดีที่เกี่ยวข้องกับทหาร กล่าวคือ เจ้าหน้าที่ทหารมีความพยายามยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยอำนาจเรื่องเขตอำนาจศาลทหารเสียใหม่ ทั้งที่พระราชบัญญัติดังกล่าวไม่มีข้อยกเว้นการขึ้นศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ แม้จะอยู่ในภาวะสงครามก็ตาม

เช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความไม่ตระหนักถึงวัตถุประสงค์อันเป็นสำคัญของพระราชบัญญัติ ตระหนักแต่เพียงอำนาจที่ตนมีเป็นสำคัญ

สุดท้ายนี้แม้สองปีที่ผ่านไปประเทศไทยอาจจะยังไม่เข้าใกล้วัตถุประสงค์อันมุ่งเน้นการคุ้มครองเสรีภาพของประชาชนตามพันธกรณีสิทธิมนุษยชนเท่าที่ควร

แต่ทั้งนี้ผู้เขียนเชื่อว่า เราได้ผ่านสิ่งที่ยากที่สุดของการสร้างสรรค์สังคมที่เสมอภาคละเท่าเทียมมาแล้ว นั่นคือ การบัญญัติ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ พ.ศ. 2565 ฉบับนี้.