ข้อเสนอให้ กทม.ปรับแก้แบบ ศาลาพักคอยรถเมล์ ศาลาที่พักผู้โดยสาร

คนกรุงเทพมหานครจำนวนหลายล้านคนไม่มีรถยนต์ส่วนตัว และรายได้ไม่สูงพอที่จะนั่ง BTS หรือ MRT ได้ทุกครั้ง จึงจำเป็นต้องพึ่งรถเมล์เป็นหลัก
เรื่องรถเมล์ จึงเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งที่ผู้บริหารเมืองต้องดูแลและให้ความสำคัญ
เห็นข่าวว่ากรุงเทพมหานครได้สร้างศาลาที่พักผู้โดยสารมาแล้ว 90 หลังในสองปีงบประมาณที่ผ่านมา และกำลังจัดประมูลก่อสร้างศาลาพักรอรถเมล์ริมถนนเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 400 หลังในปี 2568-69 นี้ ราคาหลังละ 2.3 ถึง 3.2แสนบาท รวมราคาทั้งสิ้นประมาณ 150 ล้านบาท
ในฐานะที่ผมได้ทำงานรณรงค์ส่งเสริมด้านการเดินและการจักรยานในชีวิตประจำวันมา 30 กว่าปี ก็ต้องขอขอบคุณผู้ว่าฯ ชัชชาติและทีมงานที่ได้จัดทำโครงการนี้ขึ้นมา
เพื่อดูแลสวัสดิภาพของคนที่ด้อยโอกาสกว่าคนอีกจำนวนมาก ให้สามารถมานั่งพักรอรถเมล์ด้วยความสะดวกสบายกว่าเดิม แม้จะมีเสียงติติงเรื่องรูปแบบและการออกแบบรวมทั้งราคาที่สูงจากบางคนอยู่บ้างก็ตาม
ระบบขนส่งมวลชนนั้นเป็นที่รู้กันดีว่าดีต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของเมืองอย่างมาก แต่ระบบฯ จะไม่คุ้มทุนหรือคุ้มค่าช้ากว่าที่ควรหากไม่มีระบบ feeder หรือการป้อนผู้โดยสารมาที่สถานีหรือจุดจอดขนส่งมวลชนที่ดีพอ
นั่นหมายถึงเมืองต้องจัดทำระบบสาธารณูปโภค ทางเดินเท้า และระบบจักรยาน(ที่ไม่ได้หมายถึงเพียงทางจักรยาน)ให้ดีด้วย เพื่อที่จะดึงคนให้ปรับพฤติกรรมมาเป็นผู้โดยสารเพิ่มขึ้น
เมื่อมาถึงป้ายรถเมล์ผู้โดยสารต้องรอจนกว่ารถเมล์จะมา ดังนั้น เมื่อกทม.ได้มีโครงการทำศาลาพักคอยรถเมล์จำนวนมากขึ้น ทำให้สะดวกแก่ผู้โดยสารมากขึ้นแล้ว ระบบ feeder ที่ว่านั้นก็จะมีผลสัมฤทธิ์มากขึ้นตามมาด้วย
ขอเพียงให้เวลากับมันบ้าง อย่าใจเร็วด่วนได้ในข้ามวัน แล้วมาตำหนิว่าไม่สำเร็จอย่างที่หลายคนบ่นๆกัน หลายคนที่อ่านบทความนี้อาจเติบโตมากับยุค 'ตาวิเศษ' ที่รณรงค์ให้แยกขยะ ซึ่งยังไม่สำเร็จเท่าที่ตั้งเป้าไว้ เพราะนั่นเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้ในเร็วปี
โครงการศาลาพักคอยนี้ทำให้ผมนึกไปถึงความคิดที่เคยมีมานานแล้วว่า ทำไมม้านั่งหรือเก้าอี้ที่ใช้นั่งรอรถเมล์ต้องเป็นรูปแบบเดิมๆ เดียวกันมาตลอด
ทำไมต้องจัดวางเก้าอี้ให้คนต้องนั่งหันหน้าตรงออกไปที่ถนน แทนที่จะหันเก้าอี้แต่ละตัวไปทางขวาประมาณ 45 องศาหรือมากกว่า เพื่อให้ผู้โดยสารที่นั่งรอนั้นสามารถเห็นว่ารถเมล์มาหรือยังโดยไม่ต้องเอี้ยวหรือชะเง้อคอไปดู
รวมทั้งเมื่อเปลี่ยนมุมที่นั่งหันไปทางขวา 45° หรือมากกว่าแล้ว คนที่นั่งทางขวาของเราจะไม่บังสายตาเราแล้วยกเว้นคนตัวสูงกว่าเรามาก
ทำให้เราไม่ต้องเอนตัวไปข้างหน้าพร้อมกับบิดคอไปทางขวา ซึ่งไม่สะดวกและไม่ดีต่อสุขภาพส่วนตน อาจทำให้คอเมื่อยคอเคล็ดได้
ผมขอถือโอกาสที่กทม.กำลังประมูลศาลาที่พักคอยรถเมล์ครั้งนี้ เสนอความคิดให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังที่ว่ามา โดยมีข้อคิดว่าต้องเป็นการหัน 45 องศาของเก้าอี้แต่ละตัว ไม่ใช่หันทั้งตัวศาลาหรือทั้งแถวที่นั่งของศาลา ซึ่งแน่นอนที่คงไม่มีใครน่าจะคิดทำเช่นนั้น
ผมได้แนบรูปมาให้ดูเป็นตัวอย่างของการนั่งหันตัวไป 45° ว่าสะดวกสบายแก่คอและหลังของผู้โดยสารอย่างไร
ทั้งนี้ ต้องเข้าใจก่อนว่าในรูปนี้เป็นเรื่องจำลองสถานการณ์ที่เก้าอี้หรือม้านั่งยังเป็นแบบเดิมที่วางตรง จึงได้ขอให้นางแบบบางคนนั่งหันตัวไปทางขวา 45° เพียงเพื่อให้เห็นภาพว่าการติดตั้งม้านั่งหันไปทางขวา 45° นั้นเป็นมิตรต่อผู้โดยสารอย่างไร
แต่หากไม่มีการปรับเก้าอี้ให้หันไป 45° จริง คือ ยังเป็นเก้าอี้มองตรง แล้วคาดหวังให้คนหันตัวไปทางขวา 45° ด้วยตัวเอง ทุกคนที่เคยนั่งรอรถเมล์มาต่างรู้ดีว่านั่นเป็นไปไม่ได้เพราะจะเป็นการไปรบกวนคนทางขวาของเรา
มีข้อสังเกตข้อหนึ่ง คือ ม้านั่งหรือเก้าอี้ที่ กทม.ทำไว้นั้นค่อนข้างเตี้ยและไม่เป็นแถวยาว ซึ่งเป็นข้อดีเพราะจะสามารถกันคนไม่ให้มานั่งนาน หรือมาอาศัยนอน อันทำให้เสียโอกาสของผู้อื่น และไม่สวยงามน่าอภิรมย์สมกับที่เป็นเมืองหลวงของไทย อันนี้ กทม.คิดมาดี
คำถามที่คงจะมีคนถาม คือ ศาลาพักคอยรถเมล์ที่กำลังจะประมูลเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ นี้ จะเปลี่ยนแบบแปลนทันไหม ราคาจะเพิ่มไหม ผมคิดว่าการเปลี่ยนแบบดังว่านี้ไม่ทำให้เกิดความยุ่งยากแต่อย่างใด เพราะแทนที่จะเชื่อมให้เก้าอี้หันหน้าตรงก็เพียงเชื่อมเก้าอี้ให้หันหน้าไปทางขวา 45 องศาง่ายๆ เท่านั้น งานจึงเท่าเดิม ราคาก็ต้องเท่าเดิม
จึงขอเรียนท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติให้ลองพิจารณาข้อเสนอนี้ดู ท่านเป็นวิศกรโยธา ผ่านงานก่อสร้างมามากมาย จึงมองโจทย์นี้ทะลุออกได้โดยแทบไม่ต้องใช้สมองคิด
งานเล็กๆง่ายๆแบบนี้วิศวกรส่วนใหญ่มักไม่ให้ความสำคัญเพราะคิดว่าให้วิศวกรเด็กๆหรือให้ลูกน้องทำก็ได้ ทั้งที่จริงแล้วงาน'เส้นเลือดฝอย'นี้แหละที่มีผลต่อประชาชนคนเดินเท้าซึ่งหมายรวมถึงพวกเราทุกคน ไม่เว้นแม้แต่เศรษฐีพันล้าน
ขอบคุณครับถ้าผู้ว่าฯจะรับไปสั่งการให้เร่งดำเนินการโดยทันที.







