'ฟันผุ' อย่าจ่ายแพง เช็กสิทธิ 30 บาท เข้าคลินิกทันตกรรม ปีละ 3 ครั้ง

'ฟันผุ' อย่าจ่ายแพง เช็กสิทธิ 30 บาท เข้าคลินิกทันตกรรม ปีละ 3 ครั้ง

อัปเดตจาก สปสช. กรณีประชาชนชาวบ้าน 'ฟันผุ' อย่าจ่ายแพง เช็กสิทธิ 30 บาทรักษาทุกที่ เข้าคลินิกทันตกรรม ปีละ 3 ครั้ง

กรุงเทพธุรกิจ อัปเดตจาก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สปสช. กรณีประชาชนชาวบ้าน มีปัญหาสุขภาพ 'ฟันผุ' ไม่อยากเสียเงินอย่าจ่ายแพง เช็กสิทธิ 30 บาทรักษาทุกที่ เข้าคลินิกทันตกรรม ปีละ 3 ครั้ง

เรื่องฟันอย่าปล่อยให้เรื้อรังจนอาการหนัก ด้านสปสช. ชี้ปัญหาสุขภาพช่องปากคนไทย เน้นรักษามากกว่าป้องกัน ซ้ำหากปล่อยทิ้งไว้อาจลุกลามจนเกิดติดเชื้อลุกลามสู่อวัยวะข้างเคียง เผยนักวิทยาศาสตร์พบความสัมพันธ์ระหว่างโรคปริทันต์อักเสบกับโรคอัลไซเมอร์ อัลไซเมอร์และโรคหลอดเลือดหัวใจ

แนะใช้ “สิทธิบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกที่” ตรวจฟันอย่างละเอียดและวางแผนการรักษาได้ ที่หน่วยบริการนวัตกรรม “คลินิกเอกชน” ร่วมโครงการได้ปีละ 3 ครั้ง ไม่เสียค่าใช้จ่าย

พ.ท.ทพ.ธนศักดิ์ ถัมภ์บรรฑุ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

'ฟันผุ' อย่าจ่ายแพง เช็กสิทธิ 30 บาท เข้าคลินิกทันตกรรม ปีละ 3 ครั้ง

กล่าวถึง สถานการณ์สุขภาพช่องปากของประชาชนไทย

จากการสำรวจของกรมอนามัยปี 2566

  1. กลุ่มเด็กเล็กอายุ 3-5 ปี มีร้อยละ 55 ที่ฟันไม่ผุ (Caries Free) แต่เมื่ออายุเกิน 5 ปีไปแล้ว พบว่ากลุ่มที่ฟันไม่ผุเลยลดลงเหลือร้อยละ 28
     
  2. กลุ่มเด็กนักเรียนอายุ 12 ปี มีร้อยละ 74.5 ที่ได้รับการตรวจฟัน ในจำนวนนี้ร้อยละ 36.4 เคยมีอาการปวดฟัน ซ้ำในจำนวนี้ยังมีเด็กที่ได้ทำฟันจริงเพียงร้อยละ 40.9 เท่านั้น 
     
  3. กลุ่มเด็กวัยรุ่นอายุ 15 ปี ขึ้นไป ร้อยละ 61.2 เริ่มมีฟันผุ และร้อยละ 79.5 เริ่มมีโรคเหงือก
     
  4. วัยทำงาน 35-44 ปี ร้อยละ 83.9 มีฟันหลอ และร้อยละ 81 มีโรคเหงือก ขณะที่ร้อยละ 67.1 มีอาการเหงือกร่นและรากฟันโผล่
     
  5. กลุ่มผู้สูงอายุ 60-85 ปี ในกลุ่มอายุ 60-74 ปี มีฟันเหลือประมาณ 20 ซี่ และอายุ 80-85 ปี มีฟันเหลือประมาณ 12 ซี่

'ฟันผุ' อย่าจ่ายแพง เช็กสิทธิ 30 บาท เข้าคลินิกทันตกรรม ปีละ 3 ครั้ง

ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจ สปสช. ระบุว่า ในส่วนของหัตถการช่องปากที่คนไทยนิยมทำมากที่สุด

  • ขูดหินปูนและรักษาโรคเหงือก
  • รองลงมาคือถอนฟัน
  • ตามด้วยอุดฟัน

ซึ่งเป็นการรักษาที่ปลายเหตุแล้ว ส่วนการป้องกัน เช่น

- ตรวจสุขภาพช่องปาก

- เคลือบฟลูออไรด์

เป็นหัตถการที่มีผู้รับบริการน้อย อยู่ในลำดับท้ายๆ

หน่วยบริการยอดนิยม พบว่า

  • เกือบร้อยละ 50 ไปรักษาที่คลินิกเอกชน
  • อีกร้อยละ 20 ไปโรงพยาบาลรัฐ
  • อีกร้อยละ 10 รับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.)

สาเหตุที่คนไทยเข้าไม่ถึงดูแลสุขภาพฟัน เนื่องจาก

  1. การไปโรงพยาบาลรัฐมีคิวบริการนาน
  2. รวมทั้งสิทธิรับบริการบางอย่างไม่ครอบคลุมสิทธิ ทำให้ต้องร่วมจ่าย
  3. รวมถึงไม่สะดวกไปรับบริการในเวลาราชการ
  4. การรับบริการครั้งสุดท้าย มีค่าใช้จ่ายต่อครั้งอยู่ที่ประมาณ 909 บาท

กล่าวสำหรับ โรคในช่องปากมีความสัมพันธ์กับโรคอื่นๆ เช่น ถ้าเป็นโรคปริทันต์อักเสบจะมีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ หรือโรคอัลไซเมอร์ได้

หรือหากเป็นเบาหวานแล้วคุมน้ำตาลไม่ดีก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรครำมะนาด หรือผู้ป่วยติดเตียงอาจเสี่ยงสำลักเอาเชื้อจากช่องปากเข้าไปในปอด เป็นต้น

และปัญหาสุขภาพช่องปาก มีทั้งที่เกิดที่ฟันและที่เหงือก ที่ฟันคือมีฟันผุจนลึกถึงโพรงประสาทที่นำมาสู่การติดเชื้อเป็นหนอง หรือถ้าเป็นที่เหงือกอาจะเกิดการอักเสบจนไม่สามารถรองรับฟันได้ ฟันก็จะโยกคลอนและหลุดได้

ซึ่งบริการรักษาฟันมีตั้งแต่อุดฟันผุ แต่ก่อนฟันผุเล็กน้อยก็จะจะกรอฟันแล้วอุดไว้ แต่ปัจจุบันถ้าได้รับการเคลือบฟลูออไรด์เพียงพอ แปรงฟันด้วยยาสีฟันฟลูออไรด์อย่างสม่ำเสมอ ฟันก็อาจจะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลโดยทันตแพทย์อย่างใกล้ชิด

 
สำหรับกรณีที่ฟันผุทะลุถึงโพรงประสาทก็มีจำเป็นต้องรักษารากฟัน ทำความสะอาดเอาส่วนที่ติดเชื้อออกแล้วอุดคลองรากฟัน ก็สามารถเก็บฟันไว้ได้ แต่หากรุนแรงขึ้นมาอีกจำเป็นต้องถอนออก

หรือในส่วนของเหงือกที่ทำให้เกิดโรคคือคราบขี้ฟันสีขาวเหลืองที่สะสมตามคอฟันหรือซอกฟัน สามารถป้องกันด้วยตนเองโดยการแปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอ หรือการดูแลโดยทันตแพทย์ด้วยการขัดทำความสะอาด ขูดหินปูน

รวมทั้งการเกลารากฟัน แต่ถ้ารุนแรงจริงๆ ก็อาจต้องถอนฟัน

จากสถิติข้างต้น พบว่าคนไทยยังซ่อมมากกว่าสร้าง ดังนั้นควรจะมีการตรวจสุขภาพฟันหรือป้องกันโรคให้มากขึ้น ซึ่งสิทธิประโยชน์บัตรทองเดิมทีให้สิทธิรับบริการเฉพาะที่โรงพยาบาลรัฐ ครอบคลุมเกือบทุกอย่างยกเว้นบริการที่เกี่ยวกับความสวยงามและไม่มีข้อบ่งชี้ แต่จากโครงการ “30 บาทรักษาทุกที่”

ทำให้ไปรับบริการที่คลินิกทันตกรรมเอกชนร่วมโครงการได้ ครอบคลุมบริการทั้ง การตรวจฟัน เคลือบหลุมร่องฟัน เคลือบฟลูออไรด์ อุดฟัน ขูดหินปูน และถอนฟัน ได้ปีละ 3 ครั้ง ไม่ต้องร่วมจ่าย แต่หากรับบริการมากกว่า 3 ครั้ง หรือการรักษาที่คลินิกทันตกรรมเอกชนไม่ครอบคลุม สามารถข้อรับการรักษาต่อในโรงพยาบาลรัฐบาลได้

ประชาชนที่ต้องการเข้ารับบริการทันตกรรมตามสิทธิประโยชน์บัตรทอง

  1. สามารถตรวจสอบรายชื่อคลินิกทันตกรรมเอกชนที่เข้าร่วมโครงการที่เว็บไซต์ สปสช.
  2. ติดต่อนัดหมายเพื่อเข้ารับบริการ โดยการเข้ารับบริการก็ใช้บัตรประชาชนในการยืนยันตัว โดยในครั้งที่ 1 จะเริ่มจากการตรวจช่องปากโดยละเอียด
  3. ประเมินความเสี่ยงฟันผุ จัดแผนการรักษาตามลำดับความรุนแรงของโรค
  4. การรักษาครั้งที่ 2 และ 3 จะการรักษาตามแผน เช่น อุด ขูด ถอน อย่างใดอย่างหนึ่ง
  5. หากยังจำเป็นต้องรักษาครั้งที่ 4 เป็นต้นไป สามารถไปรับบริการที่โรงพยาบาลรัฐตามสิทธิได้

การดูแลสุขภาพช่องปากที่ดีที่สุดคือการดูแลตัวเองทุกวัน แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ครั้งละอย่างน้อย 2 นาทีด้วยยาสีฟันฟลูออไรด์ ลดแป้งและน้ำตาล ทานอาหารให้เป็นเวลา บอกลาอาหารหวานเหนียวติดฟัน และควรเข้ารับการตรวจฟันจากทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

เนื่องจากอาจมีภาวะช่องปากเรามองเองไม่เห็น จะได้รีบป้องกันหรือรักษาแต่แรกเริ่ม โดยสามารถใช้สิทธิบัตรทองเข้ารับบริการได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพียงสังเกตคลินิกทันตกรรมที่มีสติ๊กเกอร์ “30 บาทรักษาทุกที่” ติดอยู่

รายชื่อคลินิกทันตกรรมที่เข้าร่วม สปสช. คลิก  

'ฟันผุ' อย่าจ่ายแพง เช็กสิทธิ 30 บาท เข้าคลินิกทันตกรรม ปีละ 3 ครั้ง

อ้างอิง ข้อมูลและภาพ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สปสช.