"ความรับผิด" ในการก่อให้เกิดฝุ่นมลพิษ

ฝุ่นที่เป็นมลพิษ ที่ทำให้เกิดปัญหาต่อประชาชนที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดอื่นฯ เกิดจากเหตุหลักฯ ที่สรุปได้คือ จากการก่อสร้าง โดยเฉพาะการก่อสร้างตามโครงการขนาดใหญ่ การปล่อยควันจากโรงงานอุตสาหกรรม ควันจากท่อไอเสียของรถยนต์
การเผา
- เผาป่าเพื่อหาของป่า หรือเพื่อขยายพื้นที่เพาะปลูก หรือ
- เผาวัสดุการเกษตร เช่นเผาอ้อยก่อนการตัดอ้อยส่งให้โรงงานน้ำตาล หรือเผาซังข้าว หรือซังข้าวโพดหลังเก็บเกี่ยว หรือวัสดุใดฯ
ความรับผิดทางกฎหมาย
การก่อให้เกิดฝุ่นมลพิษมีความรับผิดทางอาญาตามกฎหมายคือ
การใช้รถยนต์ที่ปล่อยควันดำเกินเกณฑ์ที่กำหนดต้องรับผิดตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกและกฎหมายว่าด้วยรถยนต์
โรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยควันเกินเกณฑ์ที่กำหนดก็ต้องรับผิดตามกฎ หมายว่าด้วยโรงงาน และอาจต้องรับผิดตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุขด้วย
สำหรับควันที่เป็นมลพิษที่เกิดจากการเผา คือการเผาป่าเพื่อหาของป่าหรือขยายพื้นที่เพาะปลูกต้องรับผิดตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ หรือกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ หรือกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติแล้วแต่กรณี
การเผาอ้อยก่อนตัดอ้อยส่งโรงงานน้ำตาล หรือการเผาซังข้าวหรือซังข้าวโพดหลังเก็บเกี่ยว หรือวัสดุการเกษตรหรือสิ่งใดฯ อาจต้องรับผิดตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข และอาจต้องรับผิดตามประมวลกกฎหมายอาญามาตรา 220วรรคหนึ่ง หรือมาตรา 225 แล้วแต่กรณี และหากพื้นที่ที่เผานั้นอยู่ภายในระยะห้าร้อยเมตรจากทางเดินรถก็อาจต้องรับผิดตามกฎหมายจราจรทางบกด้วย
การก่อให้เกิดฝุ่นมลพิษนอกจากความรับผิดทางอาญาดังกล่าวแล้ว อาจต้องรับผิดทางแพ่งฐานละเมิดด้วย
แนวคำพิพากษาศาลฎีกา
ความรับผิดทางอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 389/2477 เอาไฟจุดเผาไร่ของตนเองโดยมีลักษณอันน่ากลัวจะเป็นอันตรายแก่ผู้คนหรือทรัพย์ของผู้อื่นแล้วได้เกิดไฟไหม้ทรัพย์สมบัติของผู้อื่นนั้นมีผิดตามมาตรา 5-187 ซึ่งต้องระวางโทษดังบัญญัติไว้ใน ม.4-186
. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 385/2496 จำเลยจุดเผาไร่อ้อยของจำเลย แม้ไร่อ้อยจะอยู่ห่างเรือนผู้เสียหายเพียง 5 วา แต่ก็มีต้นมะพร้าวคั่นอยู่ 2 แถว และในการจุดเผา จำเลยก็มีพวกมาควบคุมดูแลอยู่หลายคน ทั้งขณะจุดเผา ลมก็ไม่แรง
ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการจุดเผาทรัพย์โดยลักษณะอันน่ากลัวจะเป็นอันตรายแก่ทรัพย์ของผู้อื่นตามมาตรา 187 ตามที่แก้ไขใหม่แต่ในระหว่างจุดเผาไร่อ้อยอยู่นั้น มีชะมดหนีออกมาจากไร่อ้อย
จำเลยกับพวกจึงละทิ้งไปไล่ชะมดเสีย ไม่คอยระวังดูแลประกอบกับมีลมพัดไปทางเรือนผู้เสียหาย จึงเป็นเหตุให้ไฟไหม้ลุกลามไปไหม้เรือนผู้เสียหายดังนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นผิดฐานประมาทตามมาตรา 201
(ความผิดตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่389/2477และ385/2496เป็นความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญาที่ใช้บังคับในขณะนั้น)
- คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 703/2500 จำเลยจุดไฟเผากิ่งไม้แห้งในไร่ของจำเลยและไฟได้ลุกลามไปไหม้ทรัพย์ของผู้เสียหาย ทั้งยังน่ากลัวจะไหม้โรงข้าวของผู้เสียหายอีกด้วย ความผิดของจำเลยขณะทำผิดต้องด้วยกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา187 วรรคสอง
ไฟที่จำเลยจุดเผาขึ้นได้ไหม้เอาต้นมะพร้าวอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายตามข้อ (5) แห่ง มาตรา186 ด้วย โทษที่ควรลงแก่จำเลยจึงต้องเอาโทษที่กำหนดไว้ใน มาตรา186 เป็นเกณฑ์แต่ขณะนี้ กฎหมายลักษณะอาญาได้ถูกยกเลิกไปแล้วใช้ประมวลกฎหมายอาญาแทน
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตรงตามมาตรา 220 วรรคแรกแห่งประมวลกฎหมายอาญาแต่วรรค 2 ของมาตรานี้บัญญัติว่าถ้าเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 218 ให้ลงโทษดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 218
แต่ในมาตรา218ข้อ 1 ถึง 6 มิได้บัญญัติไว้ถึงเรื่องวางเพลิงเผาต้นมะพร้าวอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ไว้เลย ฉะนั้นคงลงโทษจำเลยตาม มาตรา 220 วรรคแรกซึ่งมีอัตราโทษจำคุกเบากว่า มาตรา 187 วรรคแรกของ กฎหมายลักษณะอาญา ตาม มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญา
ความรับผิดทางแพ่ง
- คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1789 - 1790/2518 วันเกิดเหตุได้มีควันไฟอันเกิดจากไฟไหม้เศษปอในบ่อของโรงงานกระสอบของจำเลยซึ่งอยู่ห่างถนนพหลโยธินตรงที่เกิดเหตุประมาณ 20 เมตร แล้วกลุ่มควันไฟดังกล่าวถูกลมพัดลอยไปครอบคลุมผิวจราจรบนถนนพหลโยธินบริเวณที่เกิดเหตุ
เป็นเหตุให้รถยนต์ที่ขับมาถึงที่เกิดเหตุพอดีต่างไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้ จึงเกิดชนกันขึ้น รถโจทก์ถูกรถคันอื่นชนท้ายรถ แล้วรถโจทก์ได้ไปชนรถบรรทุก 10 ล้อ รถโจทก์เสียหายทั้งคัน โจทก์ทั้งสองได้รับบาดเจ็บสาหัส
ทั้งปรากฏก่อนเกิดเหตุคดีนี้ กลุ่มควันไฟอันเกิดจากการเผาเศษปอของจำเลยดังกล่าวได้เคยถูกลมพัดพาไปครอบคลุมบริเวณที่เกิดเหตุในคดีนี้ เป็นเหตุให้รถยนต์เกิดชนกันมาแล้ว 2-3 ครั้ง ไม่ปรากฏว่าจำเลยจัดการวางมาตรการป้องกัน คงปล่อยปละละเลยเช่นเดิม จนเกิดเหตุคดีนี้ขึ้นอีก
พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เป็นเหตุสุดวิสัย แต่เป็นเพราะจำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย จำเลยต้องรับผิด
- คำพิพากษาศาลฎีกาที่4269/2565 การก่อสร้างคอนโดมิเนียมของจำเลยก่อให้เกิดเสียงดัง สั่นสะเทือน และฝุ่นละอองปลิวเข้ามาในห้องเรียน โจทก์เจ้าของกิจการโรงเรียนย่อมได้รับความเสียหายและมีสิทธิฟ้องเรียกให้ฝ่ายจำเลยรับผิดในผลแห่งละเมิดที่เกิดขึ้นได้
เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลย จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 3 ร่วมรับผิดในความเสียหายอันเกิดจากการขุดเจาะเสาเข็มและการก่อสร้างคอนโดมิเนียมของจำเลยซึ่งเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการก่อสร้างอาคารคอนโดมิเนียมของจำเลยทั้งกระบวนการนับตั้งแต่การเริ่มรื้อถอนอาคารหลังเดิมไปจนก่อสร้างแล้วเสร็จ
รวมทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากการก่อสร้างดังกล่าว อันเป็นกรณีที่ผู้ดำเนินการก่อสร้างทุกขั้นตอนต่างทำละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายเดียวกันแก่โจทก์ ไม่อาจแบ่งแยกความเสียหายว่าเกิดจากการกระทำละเมิดในขั้นตอนการก่อสร้างตอนใดตอนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงได้
จำเลยแม้มิใช่ผู้ทำการก่อสร้าง แต่ในฐานะเจ้าของโครงการย่อมมีหน้าที่รับผิดชอบมิให้การทำงานก่อสร้างก่อความเสียหายแก่บุคคลอื่น แม้จะว่าจ้างบุคคลใดทำการก่อสร้าง แต่จำเลยยังต้องควบคุมดูแลบุคคลผู้ทำการก่อสร้างผ่านข้อตกลงในสัญญาระหว่างจำเลยกับผู้ทำการก่อสร้าง
ปัญหาระหว่างการก่อสร้างโครงการของจำเลยย่อมถือว่าอยู่ในความรับรู้และรู้เห็นของจำเลยทั้งสิ้น จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องดูแลตรวจสอบควบคุมมิให้การก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมของจำเลยก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น
เมื่อการก่อสร้างคอนโดมิเนียมของจำเลยก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และพฤติการณ์แห่งคดีนี้ต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามมาตรา 422 จำเลยจึงต้องร่วมกับจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 3 รับผิดต่อโจทก์ตามมาตรา 420.