'โรคอ้วนในเด็ก' ต้องแก้! นักวิจัยชี้ต้องควบคุมการตลาดอาหาร

'โรคอ้วนในเด็ก' ต้องแก้! นักวิจัยชี้ต้องควบคุมการตลาดอาหาร

อาหารหวาน มัน เค็ม ในตลาด มีการทำการตลาดโฆษณาส่งเสริมการขาย นักวิจัยชี้สภาพแวดล้อมและสื่อ ผลต่อความคิดพฤติกรรมของเด็กซึ่งสมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ยังแยกแยะไม่ได้ว่าโฆษณาที่เห็นเป็นเรื่องจริงหรือบอกความจริงไม่หมด เมื่อเห็นสิ่งเร้าใจสิ่งจูงใจทางการตลาดมากๆ จะเกิดผลกระทบต่อนิสัยการกินเกินจนเป็น สาเหตุของโรคอ้วนในเด็ก

พ่อแม่ผู้ปกครองต้องรู้ อาหารหวาน มัน เค็ม ในตลาด มีการทำการตลาดโฆษณาส่งเสริมการขาย นักวิจัยชี้สภาพแวดล้อมและสื่อ

มีผลต่อพัฒนาทางความคิดและพฤติกรรมของเด็ก ซึ่งสมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ยังแยกแยะไม่ได้ว่าโฆษณาที่เห็นเป็นเรื่องจริงหรือบอกความจริงไม่หมด

เมื่อเห็นสิ่งเร้าใจสิ่งจูงใจทางการตลาดมากๆ จะเกิดผลกระทบต่อนิสัยการกินเกินจนเป็น สาเหตุของ"โรคอ้วนในเด็ก"

ดร.นงนุช จินดารัตนาภรณ์ นักวิจัยของสถาบันวิจัยประชาการและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า การที่เด็กพบเห็นโฆษณาการทำการตลาดบ่อย ๆ จะสร้างผลกระทบ คือ ในระยะสั้นเด็กจะเกิดการจดจำยิ่งถ้าโฆษณานั้นใช้คนดัง หรือมีตัวการ์ตูนที่เด็กชอบ ก็ยิ่งทำให้เด็กชื่นชอบในผลิตภัณฑ์นั้นมากขึ้น  ในระยะกลางเด็กจะเริ่มเข้าใจว่าอาหารเหล่านั้นอร่อย ด้วยเทคนิคการโฆษณาที่ตีกรอบให้เด็กเข้าใจและเชื่อแบบนั้น ในระยะ เด็กจะเกิดความเคยชิน จะติดรสชาติจนทำให้รู้สึกว่านี่คือรสชาติปกติ ไม่มัน ไม่เค็ม ไม่หวาน เกินไป และบริโภคอาหารเหล่านั้นจนกลายเป็นเรื่องปกติ กลายเป็นบรรทัดฐานของเขา ในที่สุดเขาก็จะไม่ได้สนใจว่ารสชาติหวาน มัน เค็ม มีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร 

“จากการวิจัยพบว่า เมื่อเด็กพบเห็นโฆษณาโดยใช้คนดังเป็นผู้แสดงแบบ เด็กจะชอบอาหารเหล่านี้มากขึ้นประมาณ 23% และอีก  22% มีแนวโน้มที่จะซื้ออาหารเหล่านี้ หรือว่าถ้าเป็นเด็กเล็กๆก็จะร้องขอให้พ่อแม่ซื้อจนพ่อแม่ต้องยอมตามใจ”

สมาพันธ์โรคอ้วน (World Obesity Federation) ได้คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2573 เด็กไทยอายุต่ำกว่า 20 ปีจำนวน 1 ใน 2 คน หรือเกือบร้อยละ 50 จะมีภาวะน้ำหนักเกินและโรค องค์การอนามัยโลก เสนอแนะให้จัดการระดับโครงสร้างหรือนโยบายร่วมกับการส่งเสริมความรู้และปรับพฤติกรรม และในปี 2018 องค์การสหประชาชาติ เน้นย้ำว่า

ต้องห้ามทำการตลาดอาหารกับเด็ก โดยต้องควบคุมทั้งด้านการพบเห็นและควบคุมเทคนิคการตลาด และจะต้องทำเป็นกฎหมาย เพราะกลไกการการควบคุมอื่น เช่น ให้การตลาดควบคุมตัวเองนั้นใช้ไม่ได้ผล โดยมีการวิจัยในหลายประเทศ เช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย ที่เห็นชัดมาแล้ว 


“มีการงานวิจัยของมหิดล ว่าถ้าประเทศไทยออกนโยบาย แค่เพียงนโยบายเดียว คือการ ห้ามโฆษณาอาหาร หวาน มัน เค็ม ทางโทรทัศน์  มันจะช่วยทำให้เด็กลดน้ำหนักตัวลง และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนได้ถึง 121,000 คน“
 

ดร.นงนุช กล่าวอีกว่า มีงานวิจัยโดยแพทย์จากศิริราชว่าการลด แลก แจก แถม เสี่ยงโชคเสี่ยงรางวัล หรือกินเพื่อแลกรางวัลขนาดใหญ่ เป็นการกระตุ้นการทำงานของสมองให้หลั่งสารโดปามีนขึ้นมา ซึ่งจะไปทำลายสมองทำลายประสาทการยับยั้งชั่งใจของเด็ก  

และจะนำไปสู่การเป็นโรคทางจิตเวชได้ เด็กที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับกิจกรรมโปรโมชั่นมาก ๆ มีโอกาสจะไปใช้สิ่งเสพติด เช่น ติดสุรา สูบบุหรี่ หรือมีภาวะซึมเศร้า หรือเครียดหรือฆ่าตัวตายหรือใช้ความรุนแรงได้มากกว่าเด็กที่ไม่ได้เข้าไปร่วม หรือพบเห็นกิจกรรมส่งเสริมการตลาดเหล่านั้นบ่อยๆ นี่จึงเป็นเหตุผลสับสนุนว่ามำไมต้องห้ามลด แลก แจก ชิงโชคชิงรางวัล 


ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.ควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ มีสาระสำหคัญ 9 มาตรการ 

  1. มาตรา 14 ควบคุมฉลากและบรรจุภัณฑ์ (Label and packaging) ให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้าอาหารฯ ต้องไม่ใช้เทคนิคดึงดูดเด็กบนซอง กล่อง ขวด ฯลฯ เช่น ต้องไม่ใช้ภาพการ์ตูน ดารา หรือคนมีชื่อเสียงที่จะชี้นำและชักจูงเด็กได้ ให้แสดงสัญลักษณ์กำกับบนหน้าซองที่เข้าใจง่ายว่าอาหารหรือเครื่องดื่มนั้นมีไขมัน น้ำตาล หรือโซเดียมสูง 

  2. มาตรา 15 ควบคุมการแสดงความคุ้มค่าด้านราคา (Pricing and displaying)  ต้องไม่แสดงความคุ้มค่าด้านราคาในฉลาก หรือ ณ จุดจำหน่ายของอาหารฯที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานโภชนาการที่กำหนด เช่น เปรียบเทียบปริมาณกับราคา ป้ายเพิ่มปริมาณไม่เพิ่มราคา หรือ ป้ายที่สื่อความคุ้มค่าด้านปริมาณที่จะจูงใจให้ซื้อมากขึ้น 

  3. มาตรา 16 ควบคุมการจำหน่ายในสถานศึกษา (Place and distribution channel) สถานศึกษาระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา ทั้งปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษา ต้องไม่มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานโภชนาการที่กำหนด 
     
  4. มาตรา 17 ควบคุมการโฆษณา (Advertising) โดยต้องไม่มีผู้ใดโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก ทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุ ระบบขนส่งสาธารณะ และสื่อออนไลน์ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการค้า 
     
  5. มาตรา 18 ควบคุมการส่งเสริมการขาย (Sale promotion)  โดยกำหนดให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้จำหน่าย หรือตัวแทน ต้องไม่ทำการส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์อาหารที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก  เช่น แลก แจก แถม ให้ชิงโชค ชิงรางวัล 
     
  6. มาตรา 19 ควบคุมการบริจาค มอบหรือให้ (เป็นสปอนเซอร์และกิจกรรมทางสังคมเพื่อการตลาด) (Sponsorship marketing / Corporate social responsibility : CSR) ผลิตภัณฑ์อาหารที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก   โดยกำหนดให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้จำหน่าย หรือตัวแทน ต้องไม่ดำเนินการดังกล่าวในสถานศึกษาและสถานที่ศูนย์รวมของเด็ก 
     
  7. มาตรา 20 และ 21 ควบคุมการบริจาค มอบ ให้ และสนับสนุน (เป็นสปอนเซอร์และกิจกรรมทางสังคมเพื่อการตลาด)  (Sponsorship marketing / Corporate social responsibility : CSR) สิ่งของอุปกรณ์ของใช้หรืองบประมาณ หากจะบริจาค มอบ ให้ จะต้องไม่เชื่อมโยงโดยตรงถึงผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก 
     
  8. มาตรา 22 ควบคุมการจัดตั้งกลุ่ม ชมรม ชุมชนออนไลน์ (Online marketing) ต้องไม่มีผู้ใดสนับสนุนให้เกิดการบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็กเพื่อประโยชน์ทางการค้า ทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์ 
     
  9. มาตรา 23 และมาตรา 24 ควบคุมการติดต่อชักชวนหรือจูงใจเด็ก (Direct marketing) ต้องไม่ติดต่อชักชวนหรือจูงใจเด็ก เพื่อสนับสนุนให้เกิดการบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก

 “มีงานวิจัยจากประเทศชิลีที่ยืนยันว่า จากการมีกฎหมายให้มีฉลากคำเตือนว่าอาหารนี้มีไขมันน้ำตาลโซเดียมสูง และมีการห้ามมีการ์ตูนบนบรรจุภัณฑ์  แล้วสำรวจแม่ของเด็กอายุ 2-14 ปี พบว่าเมื่อเขาเห็นฉลากเตือนแบบนี้ทำให้เขามีการเปลี่ยนแปลงการเลือกซื้ออาหาร ทำให้เขาเลือกอาหารได้ดีขึ้น และที่สำคัญการที่มีฉลากแบบนี้จะสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการกินอาหารของคนในสังคมได้”  ดร.นงนุช ระบุ

 

อ้างอิง - การพัฒนากลไกติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังสื่อโฆษณาอาหาร / สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล