คุม จ่าเอ็ม ตรวจร่างกาย สอบเพิ่ม ก่อนหิ้วทำแผน คดียิง อดีต สส.ฝ่ายค้านกัมพูชา

ความคืบหน้ากรณี นายเอกลักษณ์ หรือ จ่าเอ็ม หรือ เอ็ม กองเรือ อายุ 41 ปี ผู้ต้องหา คดีสังหาร อดีต สส.ฝ่ายค้านกัมพูชา ล่าสุดวันนี้ (11 ม.ค. 68) พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล และชุดสืบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้เดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ไปรับตัวนายเอ็มที่ชายแดนไทยกัมพูชา ต.คลองหาด อ.คลองหาด จ.สระแก้ว จากตำรวจกัมพูชา ก่อนจะคุมตัวมาสอบสวนที่ สน.ชนะสงคราม

 

กระทั่งเวลา 13.43 น. พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. และชุดสืบสวนนครบาล ได้นำตัว "จ่าเอ็ม" (ผู้ต้องหา) มาถึงที่กองบินตำรวจ ขณะที่ลงจากเฮลิคอปเตอร์ นายเอ็มได้สวมเสื้อยืดสีขาว และใส่เสื้อเกราะกันกระสุน กางเกงสีน้ำตาล ใส่หมวกสีขาวพร้อมสวมแมสก์ ซึ่งเป็นชุดเดียวกับที่รับมอบตัวมาจากกัมพูชา

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัว จ่าเอ็ม ขึ้นรถตู้ฮุนไดสีขาว โดยมีรถคุ้มกันของหน่วยอรินทราช 26 พร้อมอาวุธครบมือ ประกบหน้าและหลัง พร้อมกำลังเพื่อดูแลความเรียบร้อย ก่อนขึ้นรถนักข่าวพยายามตะโกนถามนายเอ็มถึงการถูกจ้างวานฆ่าในคดีนี้ว่าเพราะสาเหตุใด แต่นายเอ็มมีท่าทีเรียบเฉย ไม่ตอบคำถามใดๆ

 

พล.ต.ท.สมประสงค์ กล่าวภายหลังรับตัว "จ่าเอ็ม" มาดำเนินคดีว่า จากการซักถามเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา "ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, พาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร, ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดซึ่งใช่เหตุในเมือง และยักยอกทรัพย์" ซึ่งในรายละเอียดต่างๆ ยังไม่ได้ข้อมูลอะไรชัดเจน เบื้องต้นตนมีหน้าที่ไปรับตัวผู้ต้องหาเพื่อนำมาส่งต่อให้กับทางผู้บัญชาการตำรวจนครบาลนำตัวไปดำเนินการสอบสวนต่อ และการส่งตัวครั้งนี้ไม่มีข้อแลกเปลี่ยนอะไรกับประเทศกัมพูชา

"เท่าที่สังเกตสีหน้าของผู้ต้องหาก็ดูเครียด แต่นิ่ง ไม่ได้พูดอะไร ส่วนการคุ้มกันขบวนแน่นหนามีนัยยะอะไรหรือไม่นั้น มองว่าเป็นเรื่องปกติตามหลักทางยุทธวิธีที่ฝึกมา ตามมาตรฐานสากล ผู้ต้องเป็นผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมจึงต้องมีการใส่กุญแจมือ" พล.ต.ท.สมประสงค์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัว "จ่าเอ็ม" ไปให้แพทย์ตรวจร่างกาย ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนปกติ และให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจเก็บลายนิ้วมือ ดีเอ็นเอ เพื่อนำไปตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบกับพยานหลักฐาน และเป็นการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลตามขั้นตอนเช่นกัน จากนั้นจึงจะเข้าสู่กระบวนการสอบปากคำ และคุมตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพต่อไป

 

ภาพ โสภน สุเสนา