จะทำ 'ราคายาง' ทะลุ 100 บาท/กก. กยท. ลั่นเดินหน้าต่อเนื่อง

จะทำ 'ราคายาง' ทะลุ 100 บาท/กก. กยท. ลั่นเดินหน้าต่อเนื่อง

การยางแห่งประเทศไทย กยท. เดินหน้าสนองนโยบายรัฐ ลั่นเดินหน้าทำ 'ราคายาง' พุ่งทะลุ 100 บาท/กก.

สถานการณ์ราคายางในปี 2567 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยางแผ่นรมควันชั้น 3 จากราคากิโลกรัมละ 57 บาทเมื่อช่วงต้นเดือนมกราคม 2567  ล่าสุดช่วงกลางเดือนมีนาคม 2567 ราคาพุ่งขึ้นทะลุ 90 บาทต่อกิโลกรัมไปแล้ว   หรือถ้าหากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566  ราคายางในปีนี้ มีราคาสูงกว่าเฉลี่ยประมาณ 30 บาทต่อกิโลกนัม  และที่สำคัญมีความเป็นไปได้ที่ราคาจะไต่ระดับขึ้นสู่ทะลุเลข 3 หลัก หรือกิโลกรัมละกว่า 100 บาท  ตามที่ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คาดหวังไว้ โดยที่รัฐบาลไม่ต้องแทรกแซงราคาตลาดยางพารา


 ทั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเอาจริงของรัฐบาลในการปราบปรามการลักลอบนำเข้ายางพาราเถื่อนอย่างเข้มงวดจริงจัง โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้บูรณาการร่วมทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงพาณิชย์ ทหาร และตำรวจ  ทำให้ไม่มียางนอกระบบหรือยางเถื่อนเข้ามาในประเทศ ผู้ใช้ยางจะต้องซื้อยางในระบบเท่านั้น ซึ่งมีจำนวนที่จำกัด 

ในขณะที่ความต้องการมีเพิ่มขึ้น ทำให้ราคายางพุ่งสูงขึ้นตามกลไกการตลาด หากนำมาวิเคราะห์เป็นตัวเงินแล้ว ราคายางที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว สามารถทำรายได้ให้เกษตรกรชาวสวนยางเพิ่มขึ้นรวมกันมากกว่าวันละ  210  ล้านบาท และถ้าตลอดทั้งปียางมีราคาอยู่ในระดับ 72 บาทขึ้นไป รายได้ของชาวสวนยางทั้งประเทศก็จะเพิ่มขึ้นรวมกันมากกว่าปีละ 76,650 ล้านบาท  
 
อย่างไรก็ตาม เฉพาะการปราบปรามการลักลอบนำเข้ายางพาราเถื่อนนั้น  ไม่ได้เป็นเพียงปัจจัยเดียวที่ทำให้ราคายางเพิ่มขึ้น แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆร่วมด้วย  ไม่ว่าจะเป็น ปริมาณความต้องการใช้ยางทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น

 โดยเฉพาะจากอุตสาหกรรมรถยนต์ ยอดการผลิตรถยนต์ทั่วโลกเพิ่มขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์ไฟฟ้าขยายตัวมากกว่า 10% ทำให้ความต้องการใช้ยางในการผลิตยางล้อรถยนต์เพิ่มขึ้นตามมาด้วย  ในขณะที่สต๊อกยางโลกเริ่มลดลง และปริมาณยางใหม่ที่ออกสู่ตลาดมีจำนวนจำกัด   นอกจากนี้นโยบายเกี่ยวกับยางของรัฐบาลก็เป็นปัจจัยหลักที่สำคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนทำให้ยางมีราคาเพิ่มขึ้นอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน

ดร.เพิก เลิศวังพง ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย (ประธานบอร์ด กยท.) คนใหม่ ได้เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย 7 ด้านภายใต้แนวคิด "อยู่ได้  พอใจ  ยั่งยืน" ให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็น การสร้างปัจจัยการผลิตแบรนด์ "การยาง"  เพื่อลดต้นทุนด้านปัจจัยการผลิตให้กับเกษตรกรชาวสวนยาง  

จะทำ \'ราคายาง\' ทะลุ 100 บาท/กก. กยท. ลั่นเดินหน้าต่อเนื่อง

โดยจะผลักดันให้ กยท.ทำปุ๋ยและเคมีภัณฑ์เกี่ยวกับการทำสวนยางที่ได้มาตรฐานภายใต้แบรนด์ "การยาง"  เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและสร้างรายได้ให้กับองค์กร จำหน่ายในราคาถูก  การติดอาวุธทางความรู้และเครื่องมือในการประกอบอาชีพให้เกษตรกรชาวสวนยาง  โดยจะส่งเสริมถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีศักยภาพและเหมาะสม

สำหรับเกษตรกรชาวสวนยาง  เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น การบริหารจัดการโรคใบร่วงอย่างจริงจัง  โดยบูรณาการร่วมกับภาคเอกชน ค้นคว้างานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรม เพื่อแก้ปัญหาโรคใบร่วงอย่างเป็นระบบ  การออก"โฉนดไม้ยาง" ทุกพื้นที่ทั่วไทย  โดย กยท.จะเร่งทำการขึ้นทะเบียนต้นยาง เพื่อออกโฉนดไม้ยาง  พร้อมทั้งปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรชาวสวนยางให้เป็นฐานข้อมูลในการบริหารจัดการอย่างเป็นเอกภาพ    
 

หรือการสร้างตลาดยางมาตรฐานเดียวกันทุกท้องถิ่นทั่วไทย  เพื่อรองรับการบังคับใช้กฎหมาย EU Deforestation-free Products Regulation (EUDR) ของสหภาพยุโรป(EU)ที่จะมีผลบังคับใช้ในเดือนธันวาคม 2567  นโยบายในเรื่องนี้่ของรัฐบาลให้ความสำคัญเป็นกรณีพิเศษ โดยสั่งการให้ กยท.กำหนดเป็นนโยบายที่จะต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน เพื่อที่จะเพิ่มโอกาสในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถขยายตลาดยางพาราในสภาพยุโรปได้มากขึ้น  เหนือกว่าประเทศคู่แข่ง  และทำให้ราคายางเพิ่มขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ


 นอกจากนี้ กฎหมาย  EUDR  เป็นกฎหมายว่าด้วยสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ 7 ประเภท   ยางพาราก็เป็น 1 ใน 7 ประเภทดังกล่าว ที่จะต้องปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า    สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่า ยางพาราและผลิตภัณฑ์จากยางมาจากสวนยางที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย   ไม่อยู่ในพื้นที่ต้นน้ำ  พื้นที่อนุรักษ์ และพื้นที่ป่า รวมทั้งจะต้องมีการจัดการสวนยางพาราที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและไม่ส่งผลกระทบต่อสังคม ซึ่งในปัจจุบันมีประเทศผู้ส่งออกยางพาราที่สามารถย้อนกลับได้เพียง 2 ประเทศคือ ประเทศไอวอรีโคสต์ และประเทศไทย สามารถตรวจย้อนกลับได้ประเทศละประมาณ1ล้านตันรวม 2 ล้านตันในขณะที่สหภาพยุโรปมีความต้องยางพาราถึง 4 ล้านตัน ดังนั้นไทยจะต้องใช้โอกาสนี้ในการขยายตลาดยางพารา


 ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทยหรือประธานบอร์ดกยท.เผยต่อว่า  กยท.ได้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มปริมาณยางพาราที่สามารถตรวจย้อนกลับถึงแหล่งกำเนิดจาก 1ล้านตันให้ได้ 2 ล้านตันก่อนสิ้นปี2567  และให้ได้ 3.5  ล้านตันภายในปี 2568  เพื่อรองรับความต้องการของสหภาพยุโรป และประเทศอื่นๆที่ซื้อยางจากประเทศไทยเพื่อนำเป็นแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆส่งไปขายในสหภาพยุโรป ซึ่งจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย EUDR เช่นกัน  ทั้งนี้หากทำสำเร็จ จะสามารถจำหน่ายยางพาราของไทยได้ในราคาที่สูงกว่าราคายางทั่วไปไม่ต่ำกว่า 4-5 บาทต่อกิโลกรัม และยังสามารถขาย  Carbon Credit  ได้อีกด้วย      

ซึ่งจะมีส่วนสำคัญที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็น "ศูนย์กลางยางพาราและผู้กำหนดราคายางโลก"  
 

“กยท.   จะดำเนินการยกระดับสร้างเครือข่ายตลาดประมูลท้องถิ่นของกยท.กว่า 500 แห่งทั่วประเทศ   ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน  ด้วยการนำระบบการซื้อขายประมูลยางพารารูปแบบ Digital Platform “Thai Rubber Trade” (TRT)  มาใช้ในการประมูลซื้อขาย พร้อมนำเทคโนโลยี Block Chain  เข้ามาใช้รองรับการตรวจสอบย้อนกลับข้อมูลแหล่งที่มาของผลผลิตยางพารา”
 

ส่วนการผลิตยางล้อแบรนด์"การยาง"และผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่นๆจากยางพารานั้น เป็นอีกนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เพราะเป็นการเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศ  โดยขณะนี้ กยท.ได้เจรจากับผู้ผลิตยางรายใหญ่ของไทยและต่างประเทศ  ที่จะผลิตล้อยาง สำหรับรถยนต์ประเภทต่างๆ ทั้งรถปิคอัพ  รถเพื่อการพาณิชย์ รถส่วนบุคคล  และรถเพื่อการเกษตร ภายใต้ยี่ห้อ “การยาง”  นอกจากนี้ยังจะกำหนดเป็นนโยบายให้รถยนต์ของหน่วยงานราชการ ใช้ล้อยางดังกล่าวอีกด้วย  
 

นอกจากยางล้อรถยนต์แล้ว กยท. ยังผลิตหมวกยางพารานิรภัย  รองเท้าบู๊ทยางพารา  และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากยางพาราอื่นๆ  ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการขอ มอก.  โดยจะมีการจัดตั้งโชว์รูมแสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์จากยางพารา ของ กยท. ในเร็วๆนี้อีกด้วย  ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดใช้วัตถุดิบยางจากเกษตรกรเป็นหลัก ซึ่งตั้งเป้าที่จะดูดซับปริมาณผลผลิตยางออกจากตลาดได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 400,000 ตัน
 

“รัฐบาลได้มุ่งเน้นที่จะสร้างเสถียรภาพให้กับยางพาราด้วยการเพิ่มปริมาณการใช้ยางภายในประเทศ  นอกจากการนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆดังกล่าวแล้ว  ยังได้เร่งขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ  ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยางพาราในการทำถนนยางพาราซอยซีเมนต์ของหน่วยภาครัฐที่จะต้องทำถนน ซึ่งนอกจากจะเพิ่มปริมาณการใช้ยางได้ในปริมาณที่มากแล้ว ถนนยังมีความทนทานมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น สามารถป้องกันการซึมผ่านของน้ำได้ดี ลดการเกิดฝุ่นอีกด้วย หรือการนำยางไปทำพื้นสนามกีฬา  ทำฝาย  ทำบล็อกปูถนน  เครื่องมือทางการแพทย์  เป็นต้น” ประธาน บอร์ด กยท.กล่าวย้ำ