ปมด้อยคนไทยเมื่อเผชิญต่างชาติผู้เหนือกว่า

ปมด้อยคนไทยเมื่อเผชิญต่างชาติผู้เหนือกว่า

กรณี ฝรั่งเตะหมอ ที่ภูเก็ต จนนำมาสู่การประท้วงของคนในพื้นที่ เป็นเพียงประกายแวบของความรู้สึกไม่พอใจ และเชื่อว่าเรื่องก็คงจะจบไปอย่างลอยนวลเหมือนอีกหลายกรณี ที่ชาวต่างชาติผู้มีอิทธิพลมาก่อเหตุในเมืองไทย แต่ไม่มีใครทำอะไรได้ทั้งกฎหมายและกลไกทางสังคม

ประเด็นกฎหมายนั้นพอเข้าใจในสภาพของความเป็นประเทศโลกที่สาม แต่ประเด็นกลไกทางสังคมที่ควรจะทำงานแทนกฎหมายได้แต่กลับล้มเหลวนั้น ปมในใจของคนไทยจำนวนมากมีส่วนอย่างมาก

อิทธิพลของชาวต่างชาติที่เหนือกว่าด้วยอำนาจเงิน และต่อมาก็จะนำไปสู่การมีอำนาจอื่นๆ มีขึ้นในทุกประเทศ แต่สำหรับประเทศของเรานั้นมากกว่าปกติ อาจเพราะการโปรโมตปากต่อปากว่า ไทยเป็นสวรรค์ของคนต่างชาติทั้งการทำธุรกิจและใช้ชีวิต 

ส่วนหนึ่งจึงยกโขยงมาอยู่อาศัยกันอย่างเทาๆ ทำธุรกิจคาบลูกคาบดอกกับสิ่งผิดกฎหมาย หรือยึดครองพื้นที่สาธารณะ นั้นกระทำได้ก็เพราะผู้มีอำนาจให้เขาอาศัยอยู่ มองไม่เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ บางคนไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีและอาจรับ "สินน้ำใจ” ส่วนตัวเสียด้วยซ้ำ

ขณะที่ชาวบ้านเองก็ไม่กล้ายุ่งเพราะตนก็มีปมในใจทั้งกับคนต่างชาติ และกับผู้มีอำนาจ ปมของผู้มีอำนาจและชาวบ้านที่มีต่อคนต่างชาตินั้นอาจเกิดจากหลายประเด็น

ประเด็นที่สำคัญมาจากในอดีตที่รับรู้ผ่านช่องทางต่างๆ ว่า ฝรั่งนั้นเหนือกว่าและปัจจุบันชาติต้นกำเนิดของฝรั่งก็เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วและมีอิทธิพลต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลก ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เวลาเจอกับฝรั่ง คนไทยจำนวนมากจะรู้สึกเกรงใจไว้ก่อน และจะปลาบปลื้มดีใจถ้าเขาคนนั้น “ลดตัว” ลงมาวิสาสะอย่างเท่าเทียม  

มีความเอ็นดูที่เขาแสดงออกถึง “ความเป็นไทย” และด้วยความปลาบปลื้มเอ็นดูเช่นนี้ จะทำให้คนไทยยิ่งเอื้อเฟื้อตอบแทนฝรั่งมากยิ่งขึ้น

อาการแบบนี้คนไทยก็รู้สึกกับคนเอเชียตะวันออกด้วย แม้ว่าในอดีตมีอยู่ช่วงหนึ่งที่จีนหรือเกาหลีไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างเช่นทุกวันนี้ แต่ในเมื่อวันนี้กลายเป็นประเทศที่เหนือกว่าไปแล้ว ความรู้สึกเหล่านี้ก็จะมีแบบเดียวกัน

ความรู้สึกเกรงใจและปลาบปลื้มนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อคนไทยไปเจอกับคนบางสีผิวบางเชื้อชาติบางลัทธิ บางทีกลับแสดงความรังเกียจด้วยซ้ำ

ยังมีประเด็นอื่นๆ อีก เช่น ปมเรื่องภาษาต่างประเทศ ที่ไม่สามารถสื่อสารหรือแก้ไขปัญหากับชาวต่างชาติได้ จึงเลือกใช้วิธีปล่อยผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ไปเลยดีกว่า เพื่อที่จะไม่ต้องใช้ภาษานั้นในการเจรจา 

ปัญหานี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ในประเทศอื่นที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่เป็นปัญหาในหลักคิดของคนไทยจำนวนมากที่ชื่นชมคนพูดภาษาอังกฤษได้และเย้ยหยันพวกพูดผิดๆ ถูกๆ 

การไม่รู้ภาษาจึงกลายเป็นปมใหญ่ และสัมพันธ์กับการรับมือกับคนพูดภาษาจีนหรือภาษาอื่นๆ ไปด้วย จึงเดินหนีเสียดีกว่า การพูดเสียงดังของชาวต่างชาติที่ข่มไว้ก่อน หรือร่างกายที่ใหญ่โตกว่า ก็อาจมีส่วนทำให้คนไทยที่เกรงไว้อยู่ก่อนแล้วยิ่งรู้สึกว่าตนเป็นรองหนักขึ้น

เมื่อมีปมเช่นนี้ถ้าไม่เลี่ยงหนีก็แสวงประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีกันล่ะ เราจึงเห็นคนมีอำนาจร่วมมือกับคนต่างชาติทำผิดกฎหมายหรือบรรทัดฐานสังคมอย่างไม่ละอายในหลายเรื่อง

 บ่อนการพนัน สถานบันเทิงเถื่อน การระบาดของยาเสพติด หรือการปล่อยให้ต่างชาติครองตลาดการค้า ไปจนถึงเรื่องที่ดูเหมือนเล็กน้อยอย่างรถนำขบวน ล้วนแต่เป็นสิ่งที่พวกเขากล้าทำโดยไม่แคร์ความรู้สึกของคนท้องถิ่นเพื่อนร่วมชาติ 

ส่วนคนที่ด้อยกว่าในสังคมบางจำพวก ก็มองเห็นว่านักท่องเที่ยวหน้าขาวเหล่านี้ เป็นแหล่งรายได้อันโอชะของตนที่จะรีดไถโกงหลอกอย่างไรก็ได้ โดยอ้างว่าตนเองยากจนกว่า จึงมีสิทธิจะทำเช่นนั้นกับคนต่างชาติที่ร่ำรวย

เราจึงได้เห็นข่าวที่รถรับจ้างสาธารณะ หรือพ่อค้าริมทางบางคนทำกับพวกเขา การแก้ไขปัญหาคนต่างชาติมีอิทธิพลเหนือท้องถิ่นแผ่นดินไทยไม่ใช่เรื่องง่ายก็เพราะปมที่คนไทยมี แต่จะรื้อได้อย่างไร ก็เพราะคนไทยเองพัฒนาปมของตนให้ใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก 

คนที่มีระดับหรือพอมีทรัพย์ก็อยากให้ลูกไปอยู่ในสังคมประเทศที่พัฒนาแล้วเหล่านี้ รสนิยมก็พัฒนาไปทางนั้นผ่านทางการขัดเกลาทางสังคมที่ใฝ่ฝัน ภาพของความสวยงามในการใช้ชีวิตในประเทศเหล่านั้น สินค้าดีมีคุณภาพ และรายได้ของคนต่างชาติล้วนแต่ดึงดูดให้คนไทยอีกเป็นจำนวนมาก อยากเป็นส่วนหนึ่งในสังคมด้วยการแต่งงานหรือไปใช้ชีวิตอยู่ 

 ความคิดและการกระทำเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งผิด แต่อาจมีส่วนส่งเสริมกันอยู่กับการ "ผ่อนปรน” ให้กับฝรั่งหรือเอเชียตะวันออกมากกว่าคนสีผิวลัทธิเชื้อสายอื่น

เรื่องที่กล่าวมานั้น เมื่อสมทบเข้ากับนิสัยประจำชาติของคนไทย เช่น การอดกลั้นปล่อยวางเมื่อเห็นคนทำผิด คิดว่าฉันไม่ทำชั่วก็พอแล้ว ใครทำชั่วก็จะได้รับกรรมของเขาไปเอง 

การไม่อยากค้าความกับใครเพราะเกรงจะเสียเวลา หรือคิดว่าเรื่องมากไปก็ไร้ค่า แพ้ในที่สุดเพราะคนต่างชาติมักมีอิทธิพลหนุนหลัง จึงแทบจะไม่มีการเปิดโปงหรือรณรงค์อย่างต่อเนื่องถึงปัญหาต่างๆ นับเป็นการยิ่งส่งเสริมให้คนไม่ดีในพารากราฟก่อนหน้านี้ลำพองใจเข้าไปใหญ่

แม้ว่าตอนจบยังไม่มีทางออกสำหรับการแก้ปม แต่เชื่อว่าหากเรายอมรับว่าเรื่องเหล่านี้เป็นปม ก็คงมีวิธีการลดปม และดำเนินกระบวนการอย่างเป็นระบบในกาลข้างหน้าต่อไป รับรองว่าหากแก้ได้ก็จะส่งผลให้ประเทศไทยดีกว่าเดิม