ปลัดแรงงาน ยันไม่มีหักค่าหัวคิว แรงงานไปทำงานฟินแลนด์ จ่อชี้แจง ดีเอสไอ-ป.ป.ช.

ปลัดแรงงาน ยันไม่มีหักค่าหัวคิว แรงงานไปทำงานฟินแลนด์ จ่อชี้แจง ดีเอสไอ-ป.ป.ช.

ปลัดแรงงาน ยันไม่มีการเรียกเก็บค่าหัวคิว แรงงานไทยที่ไปทำงานฟินแลนด์ และไม่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ สั่งกรมการจัดหางานตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อเตรียมชี้แจง ดีเอสไอ-ป.ป.ช.

วันนี้ (11 ม.ค. 67) จากกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มีมติส่งสำนวน "คดีค้ามนุษย์" ให้ "ป.ป.ช." เชือด 2 อดีตรัฐมนตรี 2 ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน หลังพบหลักฐานโยง ขบวนการส่งแรงงานไทย ไปเก็บผลไม้ป่า ฟินแลนด์ ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ต่อมา  นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงข้อเท็จจริงโดยเฉพาะเรื่องการเรียกรับหัวคิว หลังจากที่ ดีเอสไอ กล่าวหาว่ามีข้าราชการระดับสูงของกระทรวง 2 คนไปเกี่ยวข้อง 

นายไพโรจน์ กล่าวว่า ประเด็นที่มีเจ้าหน้าที่ไปเรียกรับเงินยืนยันว่า จะสั่งการให้กรมการจัดหางานไปตรวจสอบในประเด็นนี้ซึ่งในปี 64-65 ที่ตนเองเป็นอธิบดีกรมการจัดหางานนั้นยืนยันว่า ไม่มีการเก็บค่าหัวคิวเป็นค่าใช้จ่ายของรายงานอย่างแน่นอน และแรงงานทุกคนไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีการบังคับ แรงงานเต็มใจไปทำงานตามสัญญาทุกคน 

โดยในฐานะปลัดกระทรวงแรงงาน ตนเองขอยืนยันด้วยว่า เราไม่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ และพร้อมยืนยันความบริสุทธิ์ใจว่า ทุกขั้นตอนของการเดินทางของแรงงานไทยที่ไปทำงานที่ฟินแลนด์ เป็นการเดินทางไปอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ซึ่งการทำหน้าที่ของตนเองเป็นการทำหน้าที่อย่างบริสุทธิ์ใจอย่างแน่นอน

ส่วนกรณีที่กระทรวงแรงงานเสียหาย ได้สั่งให้กรมการจัดหางานเตรียมข้อมูลแรงงานไทยที่ไปทำงานที่ฟินแลนด์ตั้งแต่ปี 63-66 แล้วเพื่อเป็นข้อมูลในการชี้แจงข้อกล่าวหา และมีการเสียค่าใช้จ่ายส่วนไหนอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะการไปหาคำตอบเรื่องที่อ้างว่าเสียค่าใช้จ่าย 3,000บาท ไปเสียให้กับใครอย่างไร

นายไพโรจน์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้น ผู้ประสานงานกับแรงงาน จะมีการไปเก็บค่าใช้จ่ายค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าพลาสปอร์ต ค่ารถ กับแรงงาน ทั้งค่าอาหาร ค่าอุปโภคบริโภค และค่าเดินทางจากภูมิลำเนามาที่กรุงเทพ กับแรงงานก่อนเดินทางไป ซึ่งตามหลักเกณฑ์ ของกระทรวงแรงงาน ได้กำหนดไว้ว่า จะต้องเรียกเก็บตามค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เพราะปกติค่าใช้จ่ายเฉลี่ยแรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานที่ฟินแลนด์ ต่อคนประมาณ 30,000 บาท

ส่วนมองว่า เป็นการไปแอบอ้างของผู้ประสานงานในการเรียกเก็บเองหรือไม่ ปลัดกระทรวงแรงงาน ระบุว่า ก็คงต้องไปทำการตรวจสอบกันอีกครั้งซึ่งตนเองได้สั่งให้กรมการจัดหางาน ไปตรวจสอบกับแรงงานที่เดินทางกลับมาประเทศไทยตั้งแต่ปี 63 ถึงปี 66 ด้วยเช่นกัน

พร้อมยอมรับว่า ที่ผ่านมาเคยได้รับข้อร้องเรียน เมื่อปี 63 และตนเองได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า มีการเข้าข่ายการค้ามนุษย์หรือไม่ เพราะมีการเก็บค่าใช้จ่ายสูงเกินกว่าความเป็นจริงและแรงงานกลับมาได้รายได้น้อยกว่าตามที่สัญญาไว้ 
 

 

ปลัดกระทรวงแรงงาน ยังยืนยันอีกว่า รายชื่อแรงงานไทยทุกคนที่เดินทางไปทำงานที่ฟินแลนด์ จะต้องผ่านกระทรวงแรงงานก่อน และกระทรวงแรงงานจะต้องรับทราบรายชื่อทุกคนที่เดินทางไปทำงาน ซึ่งการพาแรงงานไทยไปทำงาน ที่ถูกต้องตามกฎหมาย มี 5 วิธี คือ  

ทั้งนี้ หากจะเดินทางไปทำงานด้วยตนเอง ก็จะต้องมีสัญญาจ้างว่าไปทำงานกับนายจ้างชื่ออะไร ประเทศที่ไปทำงาน และกระทรวงแรงงาน ก็จะต้องออกใบจง.12 หรือ ใบแจ้งการเดินทางไปทำงาน ให้กับแรงงาน ซึ่งก่อนจะออกได้ แรงงานก็จะต้องแนบเอกสารสัญญาจ้าง พร้อมวีซ่า เพื่อมาขอใบนี้กับกระทรวงแรงงานด้วย

ส่วนใบฝึกอบรม ที่จะนำไปใช้ในต่างประเทศว่าผ่านการฝึกอบรมแล้วนั้น กระทรวงแรงงานจะจัดอบรมให้ 

"กระทรวงแรงงานยืนยันว่า เมื่อเกิดประเด็นดังกล่าว  ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยเฉพาะประเด็นค้ามนุษย์ ซึ่งจะส่งผลกระทบกับการส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ ปีนึงมีเงินเข้าประเทศ 4-500,000 ล้านบาท ดังนั้น ตนเองจึงต้องสั่งให้เจ้าหน้าที่ในการหาข้อเท็จจริงไปยืนยันและชี้แจงกับ ป.ป.ช.และดีเอสไอ เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อการเดินทางไปทำงานของแรงงานไทย เพื่อเป็นการรักษาตลาดแรงงานให้เป็นไปตามนโยบายของกระทรวงแรงงานด้วย" นายไพโรจน์ กล่าว

ขณะที่แหล่งข่าวระดับสูง ซึ่งเคยทำงานในกระทรวงแรงงาน ในช่วงที่เกิดเรื่องดังกล่าว เปิดเผยว่า หากให้พูดตรงๆ ตนก็ไม่รู้ว่า ดีเอสไอกล่าวหาใคร เพราะตนเองไม่เกี่ยวข้อง และหากคิดว่าเกี่ยวข้องก็กล่าวหามา เพราะตนเองพร้อมที่จะต่อสู้ในความบริสุทธิ์ พร้อมเข้าสู่กระบวนการเพื่อความบริสุทธิ์ใจ จะได้รู้ใครผิดใครถูก และหาก ป.ป.ช.ดำเนินการต่อ ก็ต้องเอาหลักฐานมาชี้แจงให้ได้ว่า ตนเองเกี่ยวข้องยังไง

ทั้งนี้ ยืนยันว่า ตนเองไม่ได้เกี่ยวข้อง และการกล่าวหาจะกล่าวหากันโดยยังไม่ได้เรียกใครมาสอบจะกล่าวหากันได้อย่างไร แต่ตนเองก็รู้สึกเฉยๆ ก็ว่ากันไปตามความถูกต้อง และตนมั่นใจว่าตนเองไม่ได้ทำอะไร 

"คนอาจจะมองว่าเป็นผม แต่เรื่องนี้มีการส่งแรงงานไปเป็น10ปีแล้วก่อนผมมา แล้วมาพูดแบบนี้ ดีเอสไอก็ควรเอ่ยชื่อมาเลย ผมไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมากล่าวหา เพราะเรื่องค้ามนุษย์มันไม่เกี่ยวกับผมอยู่แล้ว" แหล่งข่าว ระบุ

แหล่งข่าวคนนี้ บอกด้วยว่า ส่วนการส่งแรงงานไป เป็นเรื่องของเอกชน เป็นคนส่งแรงงานไป แล้วจะไปค้ามนุษย์ได้อย่างไร เพราะคนไปทุกปี ปีละ 3,000-5,000คน แล้วถ้ามีปัญหาเขาจะไปทำไมกันทุกปีๆ

ส่วนเรื่องเรียกรับหัวคิว ยืนยันว่า ตนเองไม่รู้จักกับคนที่ไปเลยสักคน แล้วจะเรียกยังไง แล้วตนเองเป็นใคร ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติ ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตนเอง ทั้งนี้ บริษัทที่ส่งแรงงานไปฟินแลนด์ ก็มี 10 กว่าบริษัท ตนเองยังไม่ได้รู้จักเลยสักบริษัท และยืนยันว่า ตนเองไม่ได้เป็นคนอนุมัติ แต่ฟินแลนด์เป็นคนอนุมัติ เพราะเขามีบริษัทคู่ค้าทางฟินแลนด์กันอยู่แล้ว ส่วนกระทรวงแรงงาน มีหน้าที่แค่อนุมัติตามวีซ่า เพราะวีซ่าออกให้ไปเก็บผลไม้ป่า 

"ผมแค่อนุญาตตามที่เขาขอวีซ่าได้ ใครไม่มีวีซ่าจะไปได้อย่างไร และไม่มีอำนาจในการอนุมัติอื่นๆ แล้วเขาไปถูกต้อง แล้วจะจ่ายทำไม เอาตรรกะความจริงเลย และก่อนหน้านี้ ผมเองก็เคยไปตรวจเยี่ยมแรงงานที่ฟินแลนด์ด้วย และพอกลับมาสักพัก ก็ปรากฎว่าคนที่พาไปโดนจับเป็นคนไทย แล้วพอโดนจับ เขาก็อยู่ได้ 4-5เดือนแล้วก็กลับมาที่ประเทศไทย" แหล่งข่าวคนนี้ กล่าวทิ้งท้าย