โฆษกศาลฯ แจง ปมความเห็นแย้ง หัวหน้าศาล-อธิบดีศาลภาค 4 'คดีน้องชมพู่'

โฆษกศาลฯ แจง ปมความเห็นแย้ง หัวหน้าศาล-อธิบดีศาลภาค 4 'คดีน้องชมพู่'

โฆษกศาลฯ ชี้ ความเห็นแย้งของ หัวหน้าศาล-อธิบดีศาลภาค 4 "คดีน้องชมพู่" ถือเป็นเรื่องปกติ ส่วนจะมีน้ำหนักเปลี่ยนจุดคดีเเค่ไหน ขึ้นกับองค์คณะศาลอุทธรณ์วินิจฉัย

วันนี้ (21 ธ.ค. 66) จากกรณีศาลชั้นต้นจังหวัดมุกดาหาร สั่งจำคุก 20 ปี นายไชย์พล วิภา หรือ "ลุงพล" จำเลยคดีน้องชมพู่ โดย อธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 และผู้พิพากษาหัวหน้าศาล มีความเห็นแย้ง ว่า ควรยกฟ้อง โดยศาลพิจารณาอนุญาตให้ประกันตัวใช้หลักทรัพย์ 5 แสนบาท และยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน

ล่าสุด นายสรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม ชี้แจงว่า สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ตามขั้นตอนของกฎหมาย ส่วนที่ อธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 และผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ที่ตรวจสำนวนแล้วมีความเห็นแย้งว่า ควรยกฟ้อง​ เนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์มีข้อสงสัย ว่าคำเห็นแย้งก็จะแนบในสำนวนคำพิพากษา เมื่อเวลาคดีขึ้นสู่การพิจารณาศาลศาลอุทธรณ์ องค์คณะศาลอุทธรณ์ ก็จะเห็นทั้งตัวคำพิพากษาศาลชั้นต้นและความเห็นแย้ง 

โดยทางองค์คณะศาลอุทธรณ์ ก็จะเอาข้อมูลทั้งหมดในสำนวน ไม่ว่าจะเป็นคำพิพากษาศาลชั้นต้น รวมทั้งความเห็นแย้งต่างๆ ข้อที่คู่ความอุทธรณ์ขึ้นมาประกอบ ในการพิจารณาทำคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ แต่ความเห็นแย้งดังกล่าว คงไม่ได้เป็นจุดเปลี่ยนคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์โดยตรง เพราะตัวความเห็นหลัก ยังเป็นความเห็นขององค์คณะผู้พิพากษาศาลชั้นต้น เพราะองค์คณะผู้พิพากษาเป็นคนสืบพยาน เป็นผู้ที่เห็นข้อเท็จจริงในตอนที่พยานมาเบิกความ เห็นข้อเท็จจริงพยานหลักฐานต่างๆอย่างใกล้ชิด  

ส่วนน้ำหนักความเห็นแย้งจะมีมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับมุมมองขององค์คณะผู้พิพากษาชั้นอุทธรณ์ หากยังเห็นคล้อยไปตามเสียงข้างมากขององค์คณะผู้พิพากษาชั้นต้น ก็เป็นดุลยพินิจของศาลในชั้นอุทธรณ์ ที่จะต้องวิเคราะห์วินิจฉัยจากข้อเท็จจริง จากคำเบิกความที่รับฟังมา ทั้งพยานเบิกความมา จากพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ต่างๆมาประกอบกัน และเห็นว่าตัวข้อเท็จจริงพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ กับคำเบิกความมีความสอดคล้องกันเพียงพอเชื่อมั่นได้ว่า จำเลยน่าจะเป็นคนที่กระทำความผิด

นายสรวิศ กล่าวต่อ ในการบังคับบัญชาของผู้พิพากษาหรือตุลาการ ไม่เหมือนกับข้าราชการฝ่ายอื่น เพราะถึงแม้ว่าโดยสายของการบังคับบัญชาในองค์กร ผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะฯ จะอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของหัวหน้าศาล, อธิบดีผู้พิพากษา แต่การบังคับบัญชาไม่มีผลต่อการพิพากษาคดี เพราะหลักการพิพากษาคดีเป็นอิสระ ไม่ว่าจะเป็นอิสระจากการแทรกแซงภายนอกและภายใน ผู้พิพากษาสามารถใช้ดุลยพินิจในการพิพากษาออกไปได้ โดยที่ไม่ได้เน้นผลของการบังคับบัญชา

แต่ในฐานะที่หัวหน้าและอธิบดีศาล เป็นผู้รับผิดชอบราชการในงานของศาลนั้น ก็มีส่วนในการดูแลความเรียบร้อยของศาล ที่อยู่ในการดูแลอยูแล้ว ดังนั้นหากผู้บริหารศาลมีอะไรที่เห็นส่วนตัวอาจจะแตกต่างไปจากองค์คณะผู้พิพากษา ก็มีอำนาจตามกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญ ที่จะทำความเห็นเเย้งไว้ในสำนวนได้ 

ส่วนกลุ่มนักกฎหมายที่ออกมาแสดงความเห็นนั้น ตนเองยังไม่ทราบรายละเอียด ว่าออกมาแสดงความเห็นกันอย่างไรบ้าง แต่กระบวนการตรงนี้เป็นกระบวนการตามขั้นตอนของกฎหมายอยู่แล้ว ที่องค์คณะผู้พิพากษามีอิสระในการรับฟังพยานหลักฐาน และข้อเท็จจริงในการวินิจฉัยไปตามเหตุและผล จากพยานหลักฐาน ส่วนความเห็นแย้ง เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ให้อำนาจหัวหน้าศาลและอธิบดีศาลภาคไว้

ส่วนการที่หัวหน้าศาลและอธิบดีศาลภาค มีความเห็นแย้งจะต้องไปนั่งบัลลังก์ด้วยหรือไม่นั้น นายสรวิศ ชี้แจงว่า เป็นคนละกรณีกัน กรณีที่ไปนั่งในห้องพิจารณา ถือเป็นคณะส่วนหนึ่งในการพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ปกติแล้วคนที่จะพิจารณาพิพากษาคดีได้ จะต้องเป็นองค์คณะที่พิจารณาคดีนั้นมาแต่ต้น หรือได้รับการแต่งตั้งเข้ามาแทนที่กรณีสุดวิสัย

แต่อำนาจในการตรวจสำนวน และทำความเห็นแย้งเป็นอำนาจเพิ่มเติม ที่รัฐธรรมนูญศาลยุติธรรมกำหนดมาให้หัวหน้าศาล อธิบดีผู้พิพากษา หรือประธานศาล แม้จะไม่ได้นั่งพิจารณาเองแต่ในฐานะที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูศาล ก็สามารถตรวจสำนวนและทำความเห็นแย้งไว้ได้ หากเห็นว่าเป็นกรณีที่สมควรต้องทำความเห็นแย้งไว้ 

ทั้งนี้ องค์คณะผู้พิพากษาศาลจังหวัดปกติจะมี 2 คน และต้องเป็นคนละองค์คณะกับผู้พากษาศาลอุทธรณ์ ที่จะมี 3 คน โดยองค์คณะศาลอุทธรณ์ จะเป็นผู้พิพากษาที่ทำงานในศาลอุทธรณ์ และได้รับการจ่ายสำนวน จากประธานศาลอุทธรณ

ส่วนความเห็นแย้งของอธิบดีศาลและหัวหน้าศาล มีความสงสัยตามสมควร จึงเห็นควรยกประโยชน์ให้จำเลย ตรงนี้จะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ประโยนช์หรือไม่ โฆษกศาล ชี้แจงว่า คงไม่ได้เป็นประโยชน์โดยตรง เพราะความเห็นแย้ง ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า เป็นความเห็นแย้งของเสียงข้างมากในคดีนั้น ดังนั้นผลของคำพิพากษา ตัวคำความเห็นแย้งตรงนี้ ไม่ได้มีผลในการเปลี่ยนแปลงของคำพิพากษาโดยตรง

เพียงแต่เป็นข้อมูลประกอบในการพิจารณาในชั้นสูงขึ้นไป และเรื่องการยกประโยชน์แห่งความสงสัยเป็นเงื่อนไขปกติในกฎหมาย ซึ่งในคดีอาญาหลายคดีก็ต้องพิจารณาอยู่แล้วว่า พยานหลักฐานที่ฝ่ายโจทก์นำสืบมา มีเหตุทำให้วิญญูชนทั่วไปเกิดความสงสัยได้หรือไม่ ว่าตัวจำเลยหรือผู้ต้องหากระทำความผิดจริง ซึ่งพยานหลักฐานเหล่าที่ที่ผู้ทำความเห็นแย้ง ดูเป็นพยานหลักฐานชุดเดียวกัน เพียงแต่บางจุดหรือข้อเท็จจริงบางส่วน อาจจะมีมุมมองที่เห็นต่างกันได้ แต่ในการวินิจฉัยมีหลักอยู่แล้วตามเงื่อนไขของกฎหมาย หากมีเหตุสงสัยสามารถยกประโยชน์ให้จำเลยได้ 

การเห็นแย้งของหัวหน้าศาลและอธิบดีศาล เกิดขึ้นอยู่เป็นระยะและก่อนหน้านี้ในศาลใหญ่ๆก็เคยมีเหตุการณ์คล้ายๆกัน ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ เพราะเป็นเรื่องของการตรวจสำนวนตั้งข้อสังเกตไว้ชั้นสำนวนปกติ ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงที่ผิดปกติ ที่ผ่านมาจะเห็นบางคดีที่มีการอุทธรณ์หรือฎีกาขึ้นไป คำพิพากษาของศาลชั้นสูง ก็อาจแตกต่างไปอาจจะกลับหรือแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้ เพราะแม้พยานหลักฐานชุดเดียวกัน แต่อาจจะมีความเห็นหรือมุมมองที่ต่างกันได้ ผู้พิพากษาแต่ละท่าน ก็จะใช้ประสบการณ์ความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวมาดู แต่ละคนก็มีมุมมองที่แตกต่างกัน