ทุกอย่างดีหมด แต่ต้องรีบออก | บวร ปภัสราทร

ทุกอย่างดีหมด แต่ต้องรีบออก | บวร ปภัสราทร

ถ้าถามว่าที่ทำงานมีอะไรดี ถึงได้ยอมอยู่ทำงานมานานปี มักเป็นคำตอบในเรื่องของสภาพการทำงานร่วมกันเสมือนพี่น้อง ทำงานกันอย่างเห็นอกเห็นใจเสมือนเป็นคนบ้านเดียวกัน

ทำงานร่วมกันด้วยความเคารพนับถือกันดุจเดียวกับเป็นญาติ เป็นสมาชิกในครอบครัว ทุกอย่างดูดีไปหมด แล้วทำไมยังมีเรื่องให้ต้องคิดรีบออก 

คำตอบคือ การที่ทำงานด้วยกันอย่างให้เกียรติและเห็นอกเห็นใจแล้วเกิดประโยชน์ได้จริง กับทั้งบุคลากร ทั้งผู้บริหาร ต้องเป็นการให้เกียรติและเห็นอกเห็นใจที่มาพร้อมกับการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา มีการสื่อสารสะท้อนกลับในเรื่องการงานอย่างไม่อ้อมค้อม ซึ่งมักไม่เกิดขึ้นในสภาพที่มีวัฒนธรรมการทำงานที่เน้นเป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติมากเกินไป 

มากจนกระทั่งผู้บริหารเป็นเสมือนญาติผู้ใหญ่ในครอบครัวที่ถกเถียงอะไรไม่ได้ บอกกันตรงๆ ว่าท่านแย่ตรงนั้นตรงนี้ไม่ได้ เป็นพี่น้องมากจนกระทั่งพี่ถูกเสมอ น้องผิดตลอด วัฒนธรรมการทำงานแบบนั้นเป็นพิษภัยต่อความก้าวหน้าในวิชาชีพงาน เพราะเติบโตไม่ได้เต็มศักยภาพที่มีอยู่จริง

วัฒนธรรมทำงานแบบญาติพี่น้องที่มากเกินไป มักนำไปสู่การให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มากกว่าความสำเร็จของงาน เกรงใจที่จะขัดใจรุ่นพี่ ด้วยการแลกกับผลงานที่ด้อยลง หรือละเลยสิ่งที่จะทำให้การงานดีขึ้น

อยากได้ใจเพื่อนร่วมรุ่นเลยกระทำ หรือละเลยไม่กระทำในบางเรื่องที่เป็นประโยชน์กับการงาน เซนเซอร์ความคิดสร้างสรรค์ของตนเองทั้งๆ ที่เป็นประโยชน์กับการงาน เพื่อรักษาความสัมพันธ์ให้คงดูเป็นเด็กดีของผู้ใหญ่ 

ความเกรงใจและการต้องเอาใจที่มากเกินไป จะลดทอนขีดความสามารถในการทำงานของทั้งบุคลากร และผู้บริหาร หากกระทำอยู่นานวัน ศักยภาพในการเติบโตในวิชาชีพจะด้อยลง แม้ว่าจะกลายเป็นคนโปรดมากขึ้น แต่จะเป็นคนโปรดที่อ่อนด้อยฝีมือวิชาชีพลงไปเรื่อย ๆ

ความสัมพันธ์กันแบบญาติพี่น้องในการทำงานร่วมกัน หากมีการนำไปใช้อย่างเหมาะสมแล้ว จะช่วยให้เกิดวัฒนธรรมการทำงานที่ส่งเสริมความผูกพันของบุคลากรได้ เริ่มต้นจากการทำงานด้วยกันโดยให้ความเคารพ ให้เกียรติ รวมถึงเห็นอกเห็นใจกัน เป็นธรรมดาที่น้องย่อมให้เกียรติพี่ พี่ต้องเห็นอกเห็นใจน้อง แต่อย่าทำงานเป็นพี่เป็นน้องมากเกินไปจนกระทั่งกระทบการสื่อสารเรื่องการงานอย่างตรงไปตรงมา ทำผิดไม่ว่า ทำถูกก็ไม่ชม

ทุกอย่างดีหมด แต่ต้องรีบออก | บวร ปภัสราทร

เรื่องที่สองที่ความเป็นพี่น้องในที่ทำงานช่วยได้คือ ป้องกันอาการฝนตกไม่ทั่วฟ้า เช่น ผลตอบแทนบางเรื่องมีให้เฉพาะคนบางกลุ่ม กติกาการทำงานบางอย่างมีให้ หรือยกเว้นให้เฉพาะคนบางกลุ่ม ถ้าเป็นพี่เป็นน้องกันทั่วหน้า ความครอบคลุมในเรื่องต่างๆ น่าจะมีเพียงพอที่จะไม่เห็นการเลือกปฏิบัติ โดยปราศจากสาเหตุอันสมควร 

แต่ถ้าเป็นพี่เป็นน้องกันมากเกินไปเฉพาะในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ความครอบคลุมในเรื่องต่างๆ จะเป็นไปในทางตรงข้าม คือเลือกครอบคลุมเฉพาะในกลุ่มพี่น้องของฉัน กลุ่มอื่นละเลยไปเลย ความสัมพันธ์จะมีความสำคัญมากกว่าการรักษาหลักการที่ต้องมีการปฏิบัติอย่างครอบคลุมทั่วหน้ากัน

เรื่องที่สามที่ช่วยได้ คือช่วยให้มีการทำงานร่วมกันอย่างมีจริยธรรม ซึ่งป้องกันความไม่ซื่อสัตย์ต่อกันในการทำงาน ตลอดจนป้องกันไม่ให้มีการหลีกเลี่ยงที่จะไม่ปฏิบัติต่อกันตามกฎกติกาที่กำหนด

ถ้าเป็นพี่เป็นน้องอย่างน้อยก็ไม่น่าที่จะหักหลังกันได้ง่ายๆ แต่ถ้าบังเอิญความเป็นพี่น้องไม่ครอบคลุมมาถึงเรา อาจได้เห็นการยกเว้นจริยธรรมบางข้อในการงานกับเราได้ง่ายๆ

การแข่งขันการทำงานมากเกินไป จนกระทั่งกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างกัน ส่งผลในทางลบต่อภาพรวมของการงาน มุ่งจะเอาชนะในส่วนงานที่ฉันทำ จนกระทั่งไปสร้างอุปสรรคให้กับการงานคนอื่น

เรื่องที่สี่คือ ถ้าแข่งขันกันแบบพี่น้อง คงไม่ถึงขั้นเตะตัดขากันเพื่อสร้างความสำเร็จให้ตนเอง แต่ต้องไม่มากเกินไปจนกระทั่งไม่ยอมให้เกิดการแข่งขันใดๆ ที่ลดทอนศักยภาพในวิชาชีพการงานของบุคลากรแต่ละคน

เรื่องที่ห้าคือ ช่วยป้องกันการล่วงละเมิดต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในการทำงานร่วมกัน ถ้าเห็นเป็นพี่เป็นน้องกันแล้ว คงไม่ด่าว่ากันรุนแรง หรือมีการกระทำที่ล่วงละเมิดอื่นๆ ที่ทุกวันนี้พบเจอว่าเกิดขึ้นเพราะต่างมองกันเป็นศัตรูที่จะล่วงละเมิดอย่างไรก็ได้

ความเป็นพี่เป็นน้องกันในที่ทำงานจะอยู่ได้ ตราบเท่าที่ไม่สลายศักยภาพการเติบโตในวิชาชีพของแต่ละคนเท่านั้น