“จริยธรรม” คืออะไร คำที่ต้องทำความเข้าใจ

“จริยธรรม” คืออะไร คำที่ต้องทำความเข้าใจ

หากจะถามว่า “จริยธรรม” คืออะไร? คำตอบกว้างๆ คงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความคิดและความประพฤติที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ระดับความเหมาะสมทางจริยธรรมของแต่ละคนแตกต่างกันได้

แม้ว่าจะเป็นเหตุการณ์เดียวกัน  เช่น  การขับรถเบียดแซงคิวรถคันอื่นที่ต่อแถวอยู่  คนหนึ่งอาจจะบอกว่าเป็นเรื่องเหมาะสมยอมรับได้  อีกคนก็มีสิทธิ์ค้านหัวชนฝาว่าเรื่องแบบนี้ไม่เหมาะไม่ควร  ยอมไม่ได้เด็ดขาด

ด้วยเหตุนี้  การเอาหลักจริยธรรมของคนสองคนมาโต้เถียงกันจึงไม่มีทางได้ข้อยุติเพราะสองคนพูดกันคนละเรื่อง เพราะมองกันคนละมุม  นับประสาอะไรกับประเทศไทยที่มีคนกว่า 66 ล้านคน

ถึงแม้มาตรฐานทางจริยธรรมโดยรวมอาจแตกต่างกัน  แต่คนส่วนใหญ่มีมาตรฐานขั้นต่ำในเรื่องพื้นฐานที่ใกล้เคียงกัน  เช่น  ไม่ทำร้ายหรือฆ่าคนอื่น  ไม่ขโมยของ  เป็นต้น  แต่เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ซับซ้อน  ความเห็นยังอาจแตกต่างกันได้

ลองนึกดูว่าถ้าคนที่เรารักได้รับอุบัติเหตุอยู่ห้องฉุกเฉิน  หมอบอกว่าต้องใช้เครื่องช่วยหายใจถึงจะรักษาชีวิตไว้ได้  แต่ต้องหมดสติแบบนี้ตลอดไป  จึงเสนอให้ถอดเครื่องช่วยหายใจ  เขาจะได้ไปสู่สุขคติ  เลยมาขอให้เราลงชื่อยินยอมให้ปิดเครื่องช่วยหายใจ  บางคนอาจจะยอมเซ็น  บางคนคงไม่ยอม

เช่นเดียวกัน  คนที่เติบโตมาในครอบครัวซึ่งใช้ความรุนแรง  จะเห็นว่าการใช้ความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ  ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง  เด็กที่โตมาในครอบครัวที่โกงกินมาตลอด  ย่อมเห็นว่าการโกงเป็นเรื่องธรรมดาของโลก

เมื่อหลายปีก่อนที่ออสเตรเลีย มีข่าวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งยอมเสี่ยงชีวิตลงไปช่วยเพื่อนที่กำลังโดนฉลามทำร้าย  จนได้รับการยกย่องไปทั่ว  เพราะเขามีสิทธิ์จะวิ่งหนีก็ได้แต่ก็ไม่ทำ

ในทำนองเดียวกับ  การโกหกเพื่อช่วยชีวิตคนบริสุทธิ์  ถึงเป็นการโกหกหน้าด้านๆ  เมื่อถูกเปิดเผยในภายหลังก็คงไม่โดนวิพากษ์วิจารณ์ ไม่เหมือนกับการโกหกเพื่อเอาตัวรอดจากความผิดที่ทำลงไป  หรือการโกหกเพื่อให้ตนเองได้รับผลประโยชน์มากกว่าเดิม

นอกจากนี้แล้ว  การคาดหวังว่ามาตรฐานทางจริยธรรมของคนทุกคนจะคงเส้นคงวาในทุกสถานการณ์ อาจใช้ไม่ได้กับทุกคน มีภาษิตจีนเกี่ยวกับผู้นำบทหนึ่งกล่าวว่า  “พึงเข้มงวดกับตนเอง  ผ่อนปรนกับผู้อื่น”  หากเราเอาภาษิตนี้มาเป็นบรรทัดฐานแล้ว  คนที่อ่อนจริยธรรมที่สุดก็น่าจะเป็นคนประเภท “เข้มงวดกับเขาไปทั่ว  แต่พอเรื่องของตัวยังไงก็ได้”

บางคนคิดถึงขนาดว่า ทำอะไรก็ได้ขอให้ไม่ผิดกฎหมาย หรือถึงผิดแต่ถ้าจับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็ถือว่ายอมรับได้  เรื่องจริยธรรมไม่ต้องไปสนใจ

ความจริงแล้ว  กฎหมายบัญญัติขึ้นมาเพื่อให้คนในสังคมอยู่กันอย่าง “สงบ”  แต่ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าคนในสังคมจะมี “ความสุข”  เสมอไป 

กฎหมายเปรียบเหมือนมาตรฐานขั้นต่ำซึ่งทุกคนจะต้องทำตาม  ส่วนจริยธรรมในส่วนที่นอกเหนือจากข้อกำหนดในกฎหมายจึงขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคนว่ามีมากน้อยแค่ไหน

อย่างไรก็ตาม  จริยธรรมเป็นเหมือนพันธนาการผูกมัดไม่ให้เรามีอิสระทำตามใจอยาก ด้วยเหตุนี้  คนจะมีจริยธรรมสูงได้จึงต้องรู้จักควบคุมจิตใจของตนเอง  มีวุฒิภาวะทางจิตใจและอารมณ์ในระดับหนึ่ง

ในทางกลับกัน  คนที่เอาแต่ยึดหลักกฎหมาย  ทั้งที่บางครั้งขัดกับสามัญสำนึกผิดชอบชั่วดี  ก็เหมือนกับเป็นการประกาศจุดยืนของตนให้คนอื่นรู้ว่า  ภายใต้สถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ตนเองมีจริยธรรมเท่ากับจริยธรรมขั้นต่ำในสังคมเท่านั้น

หากมองจากมุมมองของปัจเจกบุคคลแล้ว  ทุกคนมีสิทธิจะเลือกได้อย่างอิสระ  ดังนั้น การยึดเอาจริยธรรมขั้นต่ำมาเป็นบรรทัดฐานการใช้ชีวิตจึงไม่ใช่เรื่องผิดสำหรับคนธรรมดา

สิ่งที่ต้องคำนึงก็คือ  ฐานะทางสังคมคือสิ่งกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเราและคนอื่นในสังคม  ความคาดหวังของสังคมเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนคนหนึ่งขึ้นอยู่กับฐานะของคนผู้นั้นและวิธีการที่ได้ฐานะนั้นมา

ความคาดหวังจากผู้ได้รับเลือกเป็นนางงามจักรวาลคือ ต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง  ไม่ประพฤติตัวเสเพล  กินเหล้าเมายาหัวราน้ำ  รู้จักแต่งตัวเหมาะสมกับกาลเทศ  มีกริยาท่าทางนุ่มนวล  รู้จักเก็บความรู้สึก  ถึงแม้จะไม่พอใจก็จะไม่แสดงออกด้วยการยืนท้าวสะเอวชี้นิ้วกราดด่าเขาไปทั่ว

สำหรับผู้ที่อยู่ในตำแหน่งใหญ่โต หรือเป็นผู้ที่สามารถชี้นำความคิดของสังคมได้ หน้าที่ของผู้นำทางความคิดทั้งหลาย  คือ  การทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี  เพื่อยกระดับจริยธรรมของสังคมสูงขึ้น อย่างน้อยก็จนถึงจุดที่ทุกคนมีมาตรฐานขั้นต่ำใกล้เคียงกัน  และเป็นมาตรฐานที่เข้มข้นมากพอที่จะเป็นกลไกอย่างไม่เป็นทางการในการสร้างความผาสุกให้กับสังคม

โดยเฉพาะคนที่ได้รับเลือกมาจากประชาชน ถ้าแบบนี้ทำไม่ได้  ก็ไม่ควรจะเรียกตัวเองว่าเป็นตัวแทนหรือเป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชน.