จับขบวนการ 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์' อ้างเป็นตำรวจ ได้เงินเดือน 30,000 ค่าคอมอีก 3%

จับขบวนการ 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์' อ้างเป็นตำรวจ ได้เงินเดือน 30,000 ค่าคอมอีก 3%

ตำรวจชุดสืบสวน บก.น.6 จับหนุ่มวัยรุ่น ถูกเพื่อนชวนไปทำหน้าที่เป็นคอลเซ็นเตอร์ ที่ปอยเปต กัมพูชา เป็นพนักงานโทรศัพท์สายที่ 2 อ้างตัวเป็นตำรวจ รับคุยคดี ทำงานมาปีกว่า ได้ค่าจ้างเดือน 30,000 บาท บวกค่าคอมต่างหากอีก 3%  

ตำรวจ สส.บก.น.6 นำกำลังจับกุมตัวนายไชยนันท์ อายุ 20 ปี ชาว จ.บุรีรัมย์ ตามหมายจับศาลอาญา ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันเป็นซ่องโจร, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ที่บิดเบือน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน โดยจับกุมตัวได้ที่ หน้าสถานีขนส่งหมอชิต ถนนกำแพงเพชร 2 แขวงและเขตจตุจักร กทม. 

สืบเนื่องจาก เมื่อปลายปี 2565 นายไชยนันท์ ผู้ต้องหาได้รับการติดต่อจากเพื่อนให้ไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่จังหวัดปอยเปต ประเทศกัมพูชา โดยใช้เส้นทางธรรมชาติ เสียค่าเข้า 3,500 บาท ต่อการผ่านแดน 1 ครั้ง ซึ่งจะมีนายหน้าเป็นชาวกัมพูชาพาข้าม ก่อนที่จะทำหน้าที่คอลเซ็นเตอร์ จะต้องฝึกเขียนสคริป เพื่อได้รู้วิธีการหลอก เมื่อเริ่มชำนาญจึงได้ทำหน้าที่เป็นสายโทรเข้าที่ 2 โดยแสดงตัวเองว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 

ซึ่งแต่ละวันมีสายติดต่อ นายไชยนันท์ ประมาณวันละ 10 สาย เจ้าตัวได้ค่าจ้างประมาณ 30,000 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ยังจะได้ค่าคอมมิชชั่นจากการหลอกผู้เสียหายอีก 3 % หลังจากการหักให้บัญชีม้าไปแล้ว ซึ่งเดือนที่ผู้ต้องหาทำยอดได้สูงสุดต่อเดือนประมาณ 5 ล้านบาท

สำหรับขั้นตอนการหลอกเหยื่อ

1.สายที่ 1 จะได้เบอร์จากการยิงแอด เพื่อหาข้อมูลผู้เสียหาย เมื่อได้เบอร์มาแล้วจะทำการโทรไปหลอกผู้เสียหายโดยแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ขนส่งสินค้าข้ามประเทศ

2.ระบบจะโอนสายมายังสายที่ 2 ทำหน้าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ร้อยเวรประจำโรงพัก อ้างว่ารับคดีออนไลน์ และคุยรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เสียหาย เลขบัญชีที่ถืออยู่

3.สายที่ 3 จะทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสารวัตรขึ้นไป โดยขู่ให้โอนเงินมาเพื่อตรวจสอบ ถ้าไม่โอนจะอายัดบัญชี และจะต้องโทษตามกฎหมาย

ซึ่งจากการสอบสวน นายไชยนันท์ ผู้ต้องหายอมรับว่า ทำหน้าที่เป็นคอลเซ็นเตอร์มาแล้วปีกว่า จนกระทั่งถูกจับกุม อีกทั้งยังให้การรับสารภาพว่ามีชายชาวจีนชื่อ มิงตู้ เป็นเจ้าของเครือข่าย ดูแลพนักงานที่ปอยเปตทั้งหมด

เบื้องต้นชุดจับกุมยังพบข้อมูลว่า นายไชยนันท์ ยังเป็นผู้ต้องหาหลบหนีหมายจับคดีเดียวกัน ซึ่งอนุมัติหมายจับโดยศาลจังหวัดสระแก้ว เมื่อปี 2565 โดยหลังทำบันทึกจับกุมเป็นที่เรียบร้อยจะ นำส่ง พงส.บก.สอท.5 บช.สอท. ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป