นักวิชาการ ชี้ เชียงใหม่เจอภาวะก้อนเมฆทิ้งดิ่ง เตือนเฝ้าระวัง 'พายุฤดูร้อน'

นักวิชาการ ชี้ เชียงใหม่เจอภาวะก้อนเมฆทิ้งดิ่ง เตือนเฝ้าระวัง 'พายุฤดูร้อน'

อาจารย์ประจำภาควิชาภูมิศาสตร์ มช. ชี้เชียงใหม่เจอภาวะก้อนเมฆแนวทิ้งดิ่ง เติือนให้เฝ้าระวัง พายุฤดูร้อนลมแรง โอกาสเกิดได้ทุกพื้นที่ เนื่องจากอากาศร้อนอบอ้าวติดต่อกันหลายวัน

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจังหวัดเชียงใหม่ เกิดพายุลูกเห็บถล่มอย่างหนัก ทำให้จังหวัดเชียงใหม่ได้รับความเสียหาย ถึง 4 อำเภอ 17 ตำบล มีบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายไม่น้อยกว่า 600 หลังคาเรือน และพื้นที่ตำบลฟ้าฮ่าม อำเภอเมือง ถือว่าเป็นได้รับความเสียหายมากที่สุด โดยถือว่าเป็นชุมชนขนาดใหญ่กลางเมืองเชียงใหม่ พบว่ามีบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายกว่า 100 หลังคาเรือน ได้รับความเสียหายอย่างหนักกว่า 30 หลัง โดยบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายคือ กระเบื้องมุงหลังคาที่ถูกแรงพายุพัดปลิวแตกเสียหาย ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ล้มทับ ตลอดจนเศษขยะที่ถูกลมพัดปลิวมาตกในพื้นที่จำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีเสาไฟฟ้าหักโค่นจำนวนมากส่งผลให้ไฟฟ้าดับเป็นวงกว้างตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา รวมถึงป้ายโฆษณาขนาดใหญ่พังทับบ้านเรือนประชาชน ถือว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปี
 

ผศ.พลภัทร เหมวรรณ อาจารย์ประจำภาควิชาภูมิศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า พายุฤดูร้อน จะเกิดในช่วงฤดูร้อนที่มีอากาศอบอ้าว ความชื้นสูงเลยทำให้มวลอากาศร้อนลอยตัวขึ้นไปก่อตัวเป็นเมฆฝน หรือเรียกว่า ก้อนเมฆแนวทิ้งดิ่ง ทำให้เกิดฝนฟ้าคะนอง มีการกระจายของประจุไฟฟ้า ทำให้เกิดฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และเกิด ฟ้าผ่าได้ รวมถึงลมกระโชกแรง โดยลักษณะอากาศแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ทุกพื้นที่ แต่จะไม่กระจายพื้นที่เป็นวงกว้าง จะหนักเฉพาะพื้นที่ที่เป็นจุดศูนย์กลางของพายุฤดูร้อน รัศมีตั้งแต่ 1-2 ตารางกิโลเมตร และอาจจะถึง 10 กิโลเมตรได้ อย่างเช่นครั้งนี้ จุดศูนย์อยู่ตรงตำบลฟ้าฮ่าม จะกระจายไปถึงอำเภอแม่ริม อำเภอสันทรายได้ แต่อำเภอสันกำแพงฝนอาจจะไม่ตกได้ เนื่องจากอยู่ห่างรัศมีจุดศูนย์กลาง และในช่วงนี้จังหวัดเชียงใหม่ ยังพบว่ามีอากาศร้อนอบอ้าว จึงยังมีความเสี่ยงเกิดพายุฤดูร้อนได้ทุกพื้นที่