มทภ.4 ยกระดับเข้ม“หาดใหญ่-ด่านสะเดา”แฉคนร้ายปรับรูปแบบดักบึ้ม

มทภ.4 ยกระดับเข้ม“หาดใหญ่-ด่านสะเดา”แฉคนร้ายปรับรูปแบบดักบึ้ม

แม่ทัพภาค 4 สั่งยกระดับความปลอดภัยเข้ม “หาดใหญ่ –ด่านสะเดา” พื้นที่นอกเขตความมั่นคง หลังพบพฤติกรรมคนร้ายปรับรูปแบบดักบึ้มจากระยะ 20 เมตร ขยายวงรัศมี 200 เมตร กระทบความปลอดภัยประชาชนเสี่ยงสูง

ความคืบหน้าเหตุการณ์ระเบิดซ้ำที่รางรถไฟ ทำให้พนักงานรถไฟเสียชีวิต3รายบาดเจ็บ4ราย ซึ่งเหตุเกิดใกล้จุดแรกที่คนร้ายลอบระเบิดรถไฟสินค้าขบวน 707 จนตกพื้นที่หมู่ 2 ต.ท่าโพธิ์ ช่วงระหว่างสถานีรถไฟคลองแงะ – ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลาเมื่อวันมี่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลานานร่วม 6 ชั่วโมงในการนำร่างผู้เสียชีวิตออกมาจากพื้นที่เพื่อชันสูตรพลิกศพที่โรงพยาบาลสะเดา ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงสั่งเพิ่มมาตรการดูแลความปลอดภัยเข้มในพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่อยู่นอกเขตพื้นที่ความมั่นคง โดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่, เขตเมืองสงขลาและด่านพรมแดนไทย-มาเลเซีย
 

ล่าสุด พล.ต.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่4 เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าเหตุการณ์พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่พนักงานการรถไฟที่เสียชีวิตและบาดเจ็บครั้งนี้ว่า จากการหารือกับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายประเมินสถานการณ์พบว่ารูปแบบและพฤติกรรมของคนร้ายจงก่อเหตุในพื้นที่นอกเขตความมั่นคง

ซึ่งเดิมมีเพียง3จังหวัดชายแดนใต้ และ 4อำเภอรอยต่อสงขลา คือ อ.จะนะ, เทพา, นาทวีและสะบ้าย้อยเท่านั้นซึ่งครั้งนี้ขยายพื้นที่มายังอ.สะเดา จ.สงขลา ทำให้ได้เน้นย้ำทุกพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะ จ.สตูลและสงขลา เข้มงวดยกระดับความปลอดภัยทั้งสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่ราชการ และพื้นที่มีความล่อแหลมในการก่อเหตุ
 

แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวอีกว่า พฤติกรรมของคนร้ายที่แตกต่างไปจากเดิมหรือแตกต่างจากที่ผ่านมาสังเกตุชัดเจน คือมีการวางแผนที่จะดักทำร้ายเจ้าหน้าที่ซ้ำในระยะที่ไกลขึ้นประมาณ 200-300เมตร เมื่อเทียบกับที่ผ่านมาลูกที่สองจะอยู่ในระยะ10-20เมตรเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้เน้นย้ำเจ้าหน้าที่ให้เพิ่มการตรวจสอบประเด็นนี้ด้วยเพราะการขยายรัศมีหรือพื้นที่ไกลออกไปเท่ากับเพิ่มความเสี่ยงและอันตรายต่อประชาชนมากขึ้น

อีกทั้งการก่อเหตุครั้งนี้มีการทิ้งระยะเวลาการก่อเหตุนานร่วม 10 เดือน ทำให้เจ้าหน้าที่อาจชะล่าใจ ทำให้การระเบิดซ้ำทิ้งระยะเวลาห่างกันถึง 3 วันจนมีผู้เสียชีวิตขึ้น ซึ่งหลังจากนี้ทุกภาคส่วนต้องกลับมาทบทวนการทำงาน และบูรณาการกันให้มากขึ้น รวมถึงขอความร่วมมือประชาชน ผู้นำท้องถิ่น คนในชุมชน ช่วยกันสอดส่องเป็นหูเป็นตาแทนเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะช่วงส่งท้ายปียิ่งต้องคุมเข้มทุกพื้นที่กันอย่างเข้มงวด