ส.วินาศภัย เผย'โรงงาน'เมิน ทำประกันความเสี่ยง ทุนหาย 20 เท่า

ส.วินาศภัย เผย'โรงงาน'เมิน ทำประกันความเสี่ยง ทุนหาย 20 เท่า

สมาคมประกันวินาศภัยเผย โรงงาน ผู้ประกอบการเมินทำประกันความเสี่ยง ชี้ทุนประกันหาย 20 เท่า จาก 20 ล้านล้าน เหลือไม่ถึง 1 ล้านล้าน หลังเหตุเบี้ยแพงขึ้น แนะเตรียมตัวรับมือภัยพิบัติทั่วโลก หลังเกิดบ่อยและแรงขึ้น แต่ซื้อประกันภัยช่วยรับความเสี่ยงให้ได้

นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์มหาอุทกภัยปี 54 พบว่าผู้ประกอบการ และโรงงานอุตสาหกรรมในไทย มีการทำประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิด หรือประกันภัยทรัพย์สินลดลงอย่างมาก โดยปัจจุบันมีทุนประกันภัยทรัพย์สินเหลือในระบบไม่ถึง 1 ล้านล้านบาทต่อปี ลดลงไป 15-20 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนน้ำท่วมใหญ่ที่มีทุนประกันสูงถึง 15-20 ล้านล้านบาท ซึ่งมีความเป็นห่วงหากเกิดภัยพิบัติต่างๆ ขึ้น อาจทำให้โรงงาน ผู้ประกอบการต่างๆมีปัญหาต่อการฟื้นตัวของธุรกิจได้


ทั้งนี้ สาเหตุที่ผู้ประกอบการ ทำประกันภัยทรัพย์สินน้อยลง เนื่องจากหลังเกิดน้ำท่วมใหญ่ปี 54 ทำให้ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภัยธรรมชาติ ประกอบกับระยะหลังทั่วโลกเผชิญปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศเกิดภัยพิบัติรุนแรงและบ่อยครั้งขึ้น ส่งผลให้ราคาเบี้ยประกันภัยความเสี่ยงทุกชนิดมีราคาสูงขึ้น ขณะเดียวกันยังมีการแยกการประกันภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ลมพายุ และแผ่นดินไหว ออกจากประกันภัยทรัพย์สินทั่วไปอีกด้วย




“ผู้ประกอบการที่ต้องการรับคุ้มครองภัยธรรมชาติ ก็ต้องจ่ายเงินซื้อประกันภัยเพิ่มขึ้น ทำให้บางรายไม่มีการซื้อ หรือหากซื้อก็เลือกความคุ้มครองไม่เต็ม เช่น คุ้มครอง 10-20% ของมูลค่าสินทรัพย์ ทำให้ที่เหลือผู้เอาประกันภัยก็ต้องรับความเสี่ยงไว้เอง ซึ่งหากเกิดภัยธรรมชาติขึ้นมาโรงงานต่างๆ ก็อาจมีปัญหาตามมา ดังนั้นเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากภัยน้ำท่วม ผู้เอาประกันภัยรวมถึงผู้ประกอบการและประชาชน ควรต้องเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่ตอนนี้”


นายอานนท์ กล่าวว่า สำหรับกรณีฝนตกหนักจนก่อให้เกิดน้ำท่วมหนักภายในนิคมอุตสาหกรรมบางปูและบริเวณใกล้เคียง โดยในบางพื้นที่มีระดับน้ำท่วมสูงเกินกว่า 1 เมตรนั้น สมาคมประกันวินาศภัยไทยได้ติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิดและขอแจ้งเตือนผู้เอาประกันภัย รวมถึงผู้ประกอบการและประชาชนให้เตรียมการรับมือกับภัยน้ำท่วมซึ่งอาจเกิดขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้ หรือสามารถใช้ระบบประกันภัยมาช่วยลดความสูญเสียที่จะเกิดต่อระบบเศรษฐกิจได้ เช่น ช่วงปี 54 บริษัทประกันภัยได้จ่ายค่าสินไหมช่วยเหตุน้ำท่วมใหญ่สูงถึง 4 แสนล้านบาท

“ในปีนี้ได้เกิดเหตุน้ำท่วมรุนแรงในหลายประเทศและก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นมูลค่าที่สูงมาก เช่น น้ำท่วมที่เกิดขึ้นที่เยอรมันในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ได้ก่อให้เกิดความเสียหายมูลค่ากว่า 30,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนกว่า 8,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังเกิดน้ำท่วมที่มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน เนื่องมาจากฝน 1,000 ปี ก่อให้เกิดความเสียหาย 20,630 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดจะมีการจ่ายค่าสินไหมอีกกว่า 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ”

ทั้งนี้ เห็นได้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภัยน้ำท่วมในแต่ละเหตุการณ์ มีทรัพย์สินเพียงส่วนน้อยที่ได้มีการทำประกันภัยรองรับเอาไว้ ซึ่งผลการศึกษาในเรื่องดังกล่าวของ ฟิทช์ เรทติงส์แสดงให้เห็นว่า ความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากภัยธรรมชาติในทวีปเอเชียที่ไม่ได้มีการทำประกันภัยไว้อาจมีมูลค่าสูงถึง 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ