‘หุ้นท่องเที่ยว’รับข่าวดีรัฐกางแผนเปิดประเทศ

‘หุ้นท่องเที่ยว’รับข่าวดีรัฐกางแผนเปิดประเทศ

นับถอยหลังเหลือเวลาอีกเพียงแค่ 41 วันเท่านั้น จะถึงกำหนดการเปิดประเทศใน 120 วัน ตามคำประกาศของนายกฯ ที่ให้ไว้ตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย. ที่ผ่านมา ในเมื่อเวลางวดเข้ามาทุกที จึงเป็นที่จับตาว่าจะทำได้จริงอย่างที่วาดหวังหรือไม่?

เพราะถ้าดูจากเงื่อนไขสำคัญที่จะต้องฉีดวัคซีนเข็มแรกครอบคลุมประชากร 50 ล้านคน หรือ 70% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ขณะนี้มาได้เกือบครึ่งทางเท่านั้น โดยข้อมูล ณ วันที่ 2 ก.ย. ที่ผ่านมา มีการฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้วทั้งหมดกว่า 24.1 ล้านโดส ยังเหลือวัคซีนที่จะต้องฉีดอีกเกือบ 25.9 ล้านโดส

แต่ถามว่ามีโอกาสที่จะทำได้หรือไม่? เวลานี้ดูมีความเป็นไปได้มากขึ้น หลังยอดการฉีดวัคซีนต่อวันพุ่งทะลุมากกว่า 8 แสนโดส ดังนั้น ถ้าอยากไปถึงเป้าหมายตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปต้องฉีดวัคซีนให้ได้มากกว่าวันละ 6.3 แสนโดส

แม้ว่าเงื่อนไขการฉีดวัคซีนยังต้องรอลุ้น แต่ล่าสุดนายกฯ ออกมายืนยันระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่าจะยังคงเดินหน้าเปิดประเทศภายใน 120 วัน ซึ่งหากไม่สามารถเปิดได้พร้อมกันทั่วประเทศ ให้พิจารณาเปิดเฉพาะพื้นที่ไป เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

โดยที่ผ่านมาได้มีการนำร่องเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนครบโดส เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย เริ่มต้นที่จังหวัดภูเก็ตกับโมเดลภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. โดยนักท่องเที่ยวเมื่ออยู่ภูเก็ตครบ 14 วัน สามารถเดินทางไปจังหวัดอื่นๆ ได้ทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วกว่า 2 หมื่นคน

ต่อด้วย “สมุยพลัส” เมื่อวันที่ 15 ก.ค. โดยเปิด 3 เกาะของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้แก่ เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า หลังจากนั้นมีการเปิดส่วนขยายภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ 7+7 โดยปรับเกณฑ์ให้นักท่องเที่ยวเมื่ออยู่ภูเก็ตครบ 7 วัน สามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ที่กำหนด ได้แก่ เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี, เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เลย์ จังหวัดกระบี่ และเขาหลัก เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่ จังหวัดพังงา

ขณะที่ล่าสุดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากางแผนเปิดประเทศในระยะต่อไป โดยเฟส 2 จะเริ่มวันที่ 1 ต.ค. นี้ ซึ่งจะเปิดเพิ่มอีก 5 จังหวัด กทม. ชลบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และเชียงใหม่ ต้อนรับช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว

ส่วนเฟส 3 เปิดเพิ่มอีก 21 จังหวัด เริ่ม 15 ต.ค. เป็นต้นไป จนครบทั่วประเทศ และเฟส 4 จะเป็นการทำ “ทราเวลบับเบิล” กับประเทศเพื่อนบ้านในพื้นที่ชายแดนต่างๆ ภายในวันที่ 1-15 ม.ค. 2565

ดูจากไทม์ไลน์ที่ประกาศออกมา หากทำได้จริงดูเป็นข่าวดีสำหรับภาคการท่องเที่ยวไทยที่อาการยังโคม่าจากพิษโควิด แม้การฟื้นตัวจะค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้หวือหวา แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

ที่ผ่านมาหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเริ่มปรับตัวขึ้นมาแล้ว คาดหวังการเปิดประเทศ เปิดเศรษฐกิจ หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงต่อเนื่อง นำมาสู่การคลายล็อกดาวน์ ปลดล็อกกิจกรรมกิจการต่างๆ อย่างเช่น ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ร้านตัดผม ฯลฯ

ขณะเดียวกันไฟเขียวให้ประชาชนในพื้นที่สีแดงเข้มเดินทางข้ามจังหวัดได้ สายการบินต่างๆ กลับมาเปิดบินอีกครั้ง ราคาหุ้นที่เกี่ยวข้องเลยวิ่งรับข่าวดีกันคึกคัก

ไล่มาตั้งแต่ หุ้นสนามบิน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา พุ่งขึ้นมาแล้ว 9.6% ส่วนหุ้นสายการบินบวกกันกระฉูด บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV บวกกว่า 21% บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA บวกกว่า 23%

กลุ่มโรงแรม บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL บวก 16.21% บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT บวก 9.16% และบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW บวก 6.56%

ด้านบล.เคทีบีเอสที ประเมินว่าจะเห็นการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบกลางเดือน พ.ย. นี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว โดยหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากมาก-น้อย คือ ERW, CENTEL และ MINT รวมทั้งหุ้นสายการบินอย่าง AAV และสนามบินอย่าง AOT

อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวปรับตัวขึ้น 8% เมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา รับข่าวการเปิดเมืองและเปิดประเทศไปแล้วบางส่วน อัพไซด์จึงอาจเหลือไม่มาก