จีนตราหน้าสหรัฐทำเอเชียแตกแยก

จีนตราหน้าสหรัฐทำเอเชียแตกแยก

จีนตราหน้าสหรัฐทำเอเชียแตกแยก หลังรองประธานาธิบดีสหรัฐระบุว่ารัฐบาลจีนบีบบังคับและข่มขู่ให้ประเทศในอาเซียนสนับสนุนการอ้างสิทธิเหนือพื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้ของจีน

การเยือนหลายประเทศในเอเชียของ“คามาลา แฮร์ริส” รองประธานาธิบดีสหรัฐในสัปดาห์นี้ มีเป้าหมายเพื่อแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินโดแปซิฟิกของรัฐบาลสหรัฐ รวมทั้งสร้างความชัดเจนถึงพันธะของสหรัฐต่อภูมิภาคนี้ ที่จะยังคงอยู่ต่อไป​

แต่จีนกลับเห็นต่าง โดยบทบรรณาธิการในหนังสือพิมพ์ไชนา เดลี กระบอกเสียงของรัฐบาลปักกิ่ง ระบุว่ารองประธานาธิบดีสหรัฐพยายามผลักดันให้เกิดความแตกแยกระหว่างจีนกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการระบุว่ารัฐบาลจีนบีบบังคับและข่มขู่ให้ประเทศเหล่านี้สนับสนุนการอ้างสิทธิเหนือพื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้ของจีน

บทบรรณาธิการในไชนาเดลี ระบุว่า ขณะที่แฮร์ริส กล่าวหาจีนว่าบีบบังคับและข่มขู่ประเทศต่าง ๆ ให้สนับสนุนจีนในการอ้างสิทธิเหนือพื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้ สหรัฐเองก็เพิกเฉย เดินหน้าบีบบังคับและข่มขู่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เข้าร่วมกับสหรัฐ เพื่อควบคุมจีนเช่นกัน

ทั้งยังระบุว่า คำปราศรัยของแฮร์ริสที่สิงคโปร์เป็นการกล่าวโจมตีจีนอย่างไร้เหตุผล และความมุ่งมั่นเพียงอย่างเดียวของสหรัฐต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือการทำให้เกิดความแตกแยกหว่างจีนกับประเทศในภูมิภาคนี้

ความเห็นนี้สะท้อนถึงท่าทีของรัฐบาลปักกิ่งที่จับตามองความเคลื่อนไหวของรัฐบาลสหรัฐอย่างใกล้ชิด รวมถึงเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมาที่ “แอนโธนี บลิงเคน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ ได้เผยแพร่รายงานวิสัยทัศน์ด้านนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของประเทศ ความยาว 24 หน้า มีเนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับจีน โดยบลิงเคน กล่าวว่าจีนเป็นคู่แข่งเพียงหนึ่งเดียวที่มีศักยภาพและประสิทธิภาพด้านเศรษฐกิจ การทูต การทหาร และอิทธิพลด้านเทคโนโลยีในระดับเพียงพอที่จะสร้างความท้าทายอย่างต่อเนื่องให้กับกลไกเสรีระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ ยังระบุว่า การขยายอิทธิพลของจีนมีนัยยะสำคัญ ทั้งในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก การปฏิบัติทางเศรษฐกิจ สถานการณ์ในฮ่องกง ไต้หวัน และเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ซึ่งรัฐบาลของประธานาธิดีโจ ไบเดน จะสานต่อนโยบายของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เกี่ยวกับหัวข้อดังกล่าว แต่ต้องมีการยกระดับประสานงานกับพันธมิตรในภูมิภาค และสหรัฐต้องมีจุดยืนที่แข็งแกร่งและมั่นคงในการเผชิญหน้ากับจีน หากไม่ทำแบบนั้นก็จะเปิดโอกาสให้รัฐบาลปักกิ่งขับเคลื่อนนโยบายตามอำเภอใจ

ในส่วนของแฮร์ริส กล่าวระหว่างพบปะกับนายกรัฐมนตรีฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ของเวียดนามวานนี้ (25ส.ค.)ว่า รัฐบาลสหรัฐจะบริจาควัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์-ไบออนเทคให้กับเวียดนามอีกจำนวน 1 ล้านโดส

ความเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นการยืนยันการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวก่อนหน้านี้ว่า แฮร์ริสจะเสนอความช่วยเหลือในการจัดหาวัคซีนให้กับเวียดนามในระหว่างการเดินทางเยือนประเทศเวียดนาม โดยมีเป้าหมายที่จะกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในช่วงเวลาที่จีนขยายอิทธิพลในทะเลจีนใต้

แฮร์ริส ได้พบปะหารือเกี่ยวกับความมั่นคงด้านสุขภาพร่วมกับบรรดาเจ้าหน้าที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนเดินทางไปเปิดสำนักงานศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในกรุงฮานอย ขณะที่สถานทูตสหรัฐในกรุงฮานอยเปิดเผยเมื่อเดือนที่แล้วว่า สหรัฐได้บริจาควัคซีนให้เวียดนามแล้ว 5 ล้านโดส

ข้อมูลจากสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ระบุว่า เวียดนามมีประชาชนเพียง 1.9% เท่านั้นจาก 98 ล้านคนที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดส ซึ่งถือเป็นอัตราต่ำสุดในบรรดาประเทศเอเชีย ส่วนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (24ส.ค.)เวียดนามประกาศว่ารัฐบาลจีนจะบริจาควัคซีนให้กับเวียดนามอีก 2 ล้านโดส

วัคซีน ถือเป็นกลยุทธ์ที่สหรัฐใช้เป็นช่องทางการทูตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่คณะบริหารของปธน.โจ ไบเดน มีเป้าหมายสร้างความสัมพันธ์กับประเทศที่อยู่ใกล้ชิดกับจีนด้วยการส่ง“ลอยด์ ออสติน” รมว.กลาโหมสหรัฐ และรองปธน.แฮร์ริสเดินทางเยือนภูมิภาคเอเชียในเวลาไล่เลี่ยกัน

ก่อนหน้าเยือนเวียดนาม รองประธานาธิบดีสหรัฐได้เยือนสิงคโปร์ และผลักดันสนธิสัญญาการค้าดิจิทัลกับหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งข้อตกลงนี้ครอบคลุมถึงความมั่นคงแบบดิจิทัลและมาตรฐานทางเทคโนโลยีอย่างปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และบล็อกเชน ซึ่งเป็นโอกาสดีที่จะนำประเทศในอาเซียนกลับเข้าสู่เครือข่ายการค้าของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอีกครั้ง หลังจากอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ถอนตัวจากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ทีพีพี) เมื่อห้าปีที่แล้ว