“ประยุทธ์”ปรับทัพ"ทีมสื่อสาร" ชิงแต้มการเมือง-ชิงพื้นที่ข่าว

“ประยุทธ์”ปรับทัพ"ทีมสื่อสาร" ชิงแต้มการเมือง-ชิงพื้นที่ข่าว

การขยับปรับเปลี่ยนตัว “โทรโข่งข้างกาย” อีกรอบจึงต้องจับตาดูว่าการทำงานของ “โฆษกแด๊ก” จะเข้าตา พล.อ.ประยุทธ์ มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะภารกิจตอบโต้ทางการเมือง

จู่ๆ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม ปลด “โฆษกเจมส์” อนุชา บูรพชัยศรี พ้นตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แบบฟ้าผ่า ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยมาก่อนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเปลี่ยนมือสื่อสารข้างกาย

โดยแต่งตั้งให้ “โฆษกแด๊ก” ธนกร วงบุญคงชนะ อดีตโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแทน พร้อมปลอบใจ “อนุชา” ด้วยการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง

ปฏิบัติการปลด “อนุชา” สะท้อนให้เห็นว่า โทรโข่งข้างกาย “พล.อ.ประยุทธ์” ทำงานสอบตกอีกราย เพราะก่อนหน้านี้ “โฆษกแหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ขึ้นชั้นเป็น รมช.แรงงาน ก็มีปัญหาการสื่อสารหลายครั้งหลายครา เช่นกัน

ก่อนเข้ารับตำแหน่งโฆษกรัฐบาล โจทย์ใหญ่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ คาดหวังจาก “อนุชา” คือการประชาสัมพันธ์งานรัฐบาลในทุกแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะข่าวในโซเชียลมีเดียที่มุ่งเน้นการชี้แจงแบบทันควัน เพื่อสยบเฟคนิวส์ ไม่ให้สร้างความเข้าใจผิดกับประชาชน

ภารกิจรองลงมาที่ พล.อ.ประยุทธ์ คาดหวังหนีไม่พ้นการตอบโต้ประเด็นทางการเมือง ซึ่งเคยไฟเขียวให้ อนุชาตอบโต้ในหลายประเด็น แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้โอนเอนตอบโต้ทางการเมืองในแบบที่คาดหวัง

ตรงกันข้ามประเด็นที่ อนุชาออกมาตอบโต้ทางการเมือง ถูกประดิษฐ์คำพูดในสไตล์ของอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ทำให้เรื่องร้อนแรงดูเบาหวิว ใช้วาทศิลป์ตอบโต้ทางการเมืองในแบบฉบับที่ผู้โดนพาดพิงแทบไม่รู้ตัว แต่ปัญหาคือสิ่งที่สื่อสารออกไปลึกซึ้ง จนยากจะเข้าใจว่าตอบโต้ใครอยู่

ว่ากันว่า อนุชา รู้อยู่เต็มอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ต้องการให้ตอบโต้ทางการเมืองบางในบางโอกาส แต่เขาเองเลือกที่จะไม่ตอบโต้แบบแตกหัก เพราะไม่ได้แทงหวยว่าจะได้ตำแหน่งใหญ่โตในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องรักษาภาพลักษณ์ทางการเมืองเอาไว้ไม่ให้แปดเปื้อน หรือเป็นศัตรูกับขั้วการเมือง

มีกระแสข่าวว่า อนุชาวางอนาคตทางการเมืองเอาไว้ โดยจะลงสมัคร ส.ส.ในนามของพรรคการเมืองน้องใหม่บางพรรค ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องตอบโต้ทางการเมืองแบบถวายหัวให้ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่ออนุชาใจไม่เต็มร้อย พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องขยับปรับเปลี่ยน

ที่สำคัญรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีอายุการเมืองเหลืออีก 1 ปีครึ่ง คาดการณ์กันว่าหากไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง ในช่วงต้นปี-กลางปี 2565 อาจจะต้องปรับโหมดเข้าสู่การเลือกตั้ง ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์จึงจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การสื่อสารใหม่ยกทีม

โดยก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ เซ็นคำสั่งตั้งศูนย์บริหารสื่อสารในภาวะวิกฤติ เพื่อวางกลยุทธ์สื่อสาร ศบค. โดยมี “อนุชา นาคาศัย” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าศูนย์ “พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด” อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เป็นเลขานุการ “เสรี วงษ์มณฑา” และ “เกษมสันต์ วีรกุล” เป็นบรรณาธิการบริหาร

คำสั่งดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ รู้ดีว่าจุดอ่อนของรัฐบาล-ศบค. อยู่ที่การสื่อสารที่ยังไม่โดนใจชาวโซเชียลมีเดีย และยังไม่สามารถชิงความได้เปรียบสื่อสารข้อมูลเชิงบวกของ รัฐบาล-ศบค.ได้ จึงเลือกที่จะปรับและเปลี่ยน

ทว่า การปรับเพื่อรุก การเปลี่ยนเพื่อชิงพื้นที่ อาจกลายเป็นดาบสองคมที่อันตรายต่อรัฐบาล-ศบค.เสียเอง เมื่อผลงานชิ้นแรกของ “ทีม ดร.เสรี” กลับกลายเป็นผลงานชิ้นโบว์ดำ จากการเผยแพร่ความเห็นของ “ดร.เสรี” เอง ที่ให้ข้อมูลว่าประเทศไทยใกล้ฉีดวัคซีนครบ 50 ล้านคน และใกล้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่

ทำให้ “ชาวเน็ต” ขุดคุ้ยสถิติการฉีดวัคซีน นำมาเปรียบเทียบโต้กลับ ทิ่มแทงไปยัง “ดร.เสรี” จนเพจไทยรู้สู้โควิด ซึ่งเป็นเพจสื่อสารเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 อย่างเป็นทางการของรัฐบาล-ศบค. ต้องลบโพสต์เกี่ยวกับข้อมูลภูมิกันหมู่ออกทันที ส่วนเพจกรมประชาสัมพันธ์ ไม่ได้ลบโพสต์ที่ให้ข้อมูลในแบบเดียวกันออก

แค่ยกแรก “ทีม ดร.เสรี” ก็โดนสอนมวย ซึ่งต้องยอมรับว่าเพจทางการของรัฐบาล สิ่งที่ประชาชนต้องการคือข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงที่สามารถนำมาประเมินสถานการณ์ได้ แต่สิ่งที่ทีมสื่อสารรัฐบาลนำเสนอกลับพลาดอย่างหนัก

การขยับปรับเปลี่ยนตัว “โทรโข่งข้างกาย” อีกรอบจึงต้องจับตาดูว่าการทำงานของ “โฆษกแด๊ก” จะเข้าตา พล.อ.ประยุทธ์ มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะภารกิจตอบโต้ทางการเมือง

แม้ที่ผ่านมาชื่อของ “ธนกร” จะคุ้นหูกันดีตามหน้าสื่อ แต่การตอบโต้ทางการเมือง การให้ข้อมูล ศบศ. ยังไม่ถือว่าสอบผ่านเสียทีเดียว เพราะมักหยิบประเด็นตอบโต้ทางการเมืองแบบหยุมหยิม เหวี่ยงแหไปทั่ว จุดประสงค์อาจเพราะต้องการเอาใจนาย

แต่เมื่อมียี่ห้อ “โฆษกรัฐบาล” เป็นใบปะหน้าแล้ว “ธนกร” อาจต้องปรับกระบวนท่าพอสมควร เพราะหากยังลงไปชกกับมวยที่ต่ำชั้นกว่า เหวี่ยงแหตอบโต้ทางการเมืองทุกประเภท เน้นปริมาณ ไม่เน้นคุณภาพข่าว อาจเสียเหลี่ยม โดน “ขั้วตรงข้าม” ด้อยค่าเอาง่ายๆ

 มองกันตามหน้าสื่อ ธนกรอยู่ในกลุ่มสามมิตร ที่แม้จะถูกลดบทบาทภายในพรรคพลังประชารัฐ แต่สามมิตรในสายตาของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังมีราคาทางการเมือง แถมมีสัญญาใจกันว่า จะอยู่ร่วมด้วยช่วยกันไปอีกนาน ผิดกับบางกลุ่มในพลังประชารัฐที่สยายปีก-สยายอำนาจเสียจน พล.อ.ประยุทธ์เริ่มระแคะระคาย

จึงต้องรอดูว่าโฆษกรัฐบาลป้ายแดง จะปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างไร เพื่อลบภาพจำเดิม สร้างผลงานตอบโจทย์ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะหากยังย่ำอยู่กับที่ ก็ยากจะได้รับการยอมรับ แต่หากมีพัฒนาการ มีการวางยุทธศาสตร์ที่ดี อาจพลิกสถานการณ์ สร้างชื่อใหม่ต่อยอดทางการเมืองไปได้อีกไกล