เตือนข่าวปลอมตร.จราจรติดโควิด ไม่ได้รับสิทธิรักษา

เตือนข่าวปลอมตร.จราจรติดโควิด ไม่ได้รับสิทธิรักษา

ตำรวจเตือนข่าวปลอมตำรวจจราจร สน.บางคอแหลม ติดเชื้อโควิด 19 ไม่ได้รับสิทธิรักษา แจงป่วยจริง ป่วยทั้งสามี-ภรรยา แต่ได้สิทธิรักษารพ.ตำรวจได้เพียงคนเดียว ขณะที่ทางญาติขอไปรักษาภูมิลำเนาแทน

วันที่ 28 กรกฎาคม  พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนกรณีการแชร์ข้อมูลข่าวปลอมในหัวข้อ ร.ต.ต.ไสว ทองปิด ตำรวจจราจร สน.บางคอแหลม ติดเชื้อโควิด-19 แต่ไม่ได้รับสิทธิ์รักษาตัวที่นครบาล ต้องไปรักษาตัวที่บ้านเกิด โดยทางรัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้มีนโยบายในการสร้างการรับรู้ข่าวสารที่ถูกต้องให้กับประชาชน เพื่อป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนหรือข่าวปลอม(Fake News) จากผู้ไม่หวังดีที่โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์

ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย ได้ตรวจพบข่าวปลอมเพิ่มเติมอีก 1 กรณี คือร.ต.ต.ไสว ทองปิด ตำรวจจราจร สน.บางคอแหลม ติดเชื้อโควิด-19 แต่ไม่ได้รับสิทธิ์รักษาตัวที่นครบาล ต้องไปรักษาตัวที่บ้านเกิด นั้น ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย ได้ตรวจสอบข้อมูลกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสน.บางคอแหลม แล้ว ยืนยันว่ากรณีดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ เนื่องจาก ร.ต.ต.ไสว ทองปิด รอง สว.(จร.) สน.บางคอแหลม และภรรยาติดเชื้อโควิด-19 จริง ผู้บังคับบัญชาจึงได้ประสานไปที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งขณะนั้นทางโรงพยาบาลตำรวจสามารถรับผู้ป่วยได้เพียง 1 ที่ ซึ่งทำให้ไม่สามารถที่จะรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจด้วยกันได้ ประกอบกับทางญาติได้ประสานโรงพยาบาลยโสธรที่เป็นภูมิลำเนาของผู้ป่วยทั้ง 2 คน ซึ่งแจ้งมาว่าสามารถเข้ารักษาได้ ร.ต.ต.ไสว จึงตัดสินใจพาภรรยากลับไปรักษา

ซึ่งกรณีดังกล่าวผู้บังคับบัญชา ได้ดำเนินการตามนโยบายของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ที่ให้ผู้บังคับบัญชาเข้าไปช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้รับผลกระทบจากการติดเชื้อโควิด-19 จึงได้ประสานช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และสวัสดิการต่างๆ ของร.ต.ต.ไสว และภรรยา มาโดยตลอด

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และขอความร่วมมือไม่ส่งต่อ หรือแชร์ข้อมูล จนกว่าจะตรวจสอบความถูกต้องให้ชัดเจนเสียก่อน เพื่อมิให้เกิดความสับสนและตื่นตระหนกในสังคม รวมถึงเพื่อความปลอดภัยของสุขภาพด้วย เพราะในปัจจุบันนี้มีข่าวปลอมในลักษณะนี้เกิดขึ้นทุกวัน การกระทำของผู้ที่ผลิตข่าวปลอมและผู้ที่เผยแพร่ เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2),(5) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ผลิตข่าวปลอมและผู้ที่เผยแพร่ทุกรายอย่างเด็ดขาดจริงจังและต่อเนื่องต่อไป