ยังคาดฟื้นตัวไม่เกิน 1,565 (ดีสุด 1,580) จึงยังเพียงเลือกเก็งกำไรรายตัว

ยังคาดฟื้นตัวไม่เกิน 1,565 (ดีสุด 1,580) จึงยังเพียงเลือกเก็งกำไรรายตัว

ความเสี่ยงเรื่องกฎเกณฑ์กำกับดูแลกดดันหุ้นจีน

ดัชนีหุ้นจีน (SSEC) และฮ่องกง ปรับตัวลดลง -2.34% และ -4.13% หลังมีรายงานว่าจีนอยู่ในระหว่างพิจารณาที่จะให้สถาบันกวดวิชาเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไร ส่งผลต่อหุ้นที่เกี่ยวกับการศึกษาและเทคโนโลยีการศึกษาจีนให้ปรับตัวลดลงแรง (ประมาณ 30% ในวันที่ 26 ก.ค. ขณะที่ปรับลดลงมาแล้วกว่า 90% จากจุดสูงสุด) ขณะที่มีการสั่งปรับเงินแอพทางการศึกษา Yuanfudao (Tencent) และ Zuoyebang (Alibaba) เนื่องจากการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ความเคลื่อนไหวหลายประการในช่วงที่ผ่านมาของทางการจีน ทำให้เกิดความเสี่ยงของเกณฑ์การกำกับดูแลของหุ้นจีนโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ 

ติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ และแผนงานของรัฐบาล ประเด็นสำคัญที่มีผลต่อบรรยากาศลงทุนในสัปดาห์นี้ ได้แก่ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ 27-28 ก.ค. ซึ่งเราคิดว่าด้วยความกังวลต่อผลกระทบโควิด จะทำให้เฟดยังคงมุมมองและมาตรการต่างๆ จนถึงช่วงปลายปี ขณะที่ติดตามแผนงานภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น การผ่อนคลายให้ธุรกิจอาหารสามารถกลับมาเปิดในห้างสรรพสินค้าได้ และกลุ่มที่อาจได้ประโยชน์จากการที่กระทรวงการคลังเตรียมเสนอแผนกู้เงินเยียวยาโควิด 200,000 ล้านบาท (ซึ่งเป็นวงเงินภายใต้กรอบ พ.ร.ก.กูเพิ่ม 500,000 ล้านบาท) เบื้องต้นเราคาดเพียงประคองกำลังซื้อในประเทศแต่ไม่สามารถช่วยกระตุ้นหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภคได้มากนัก ขณะที่สถานะทางการคลังที่อ่อนแอลง และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด จะทำให้เงินบาทอ่อนค่า ซึ่งเป็นยังเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นส่งออกโดยเฉพาะกลุ่มอาหาร ขณะที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เริ่มมีอัพไซด์จำกัด

การปรับสิทธิ์ของ XPG-W4 ซึ่งเป็นผลจากการ XR วันนี้ (1 หุ้นเดิม: 2 หุ้นเพิ่มทุน ที่ราคา 0.50 บาท) ราคาใช้สิทธิ์ใหม่จะปรับเป็น 0.815 บาท (จาก 2.177 บาท) ขณะที่สิทธิ์เพิ่มทุนจะปรับเป็น 1: 6.621 หุ้น (จากเดิม 1:2.48) ซึ่งออกมาใกล้เคียงจากที่เราแจ้งในสัปดาห์ก่อน ทั้งนี้อิงราคาหุ้น XPG ที่ 7.90 บาท และ XPG-W4 ที่ 14.40 บาท ต้นทุนในการแปลงเป็นหุ้นจากการเพิ่มทุน และแปลงใบสำคัญแสดงสิทธิ์จะอยู่ที่ 2.97 และ 2.99 บาท ตามลำดับ ดังนั้นเรามอง opportunity ในการเก็งกำไรส่วนต่างแม่-ลูก ในระยะสั้นอาจไม่จูงใจ หรือรับรู้ไปในราคาแล้ว จึงควรระวังแรงทำกำไรใบสำคัญแสดงสิทธิ์ ที่นับจากต้นปีปรับขึ้นถึงกว่า 10,000% ขณะที่หุ้นแม่ปรับขึ้นราว 650%

กลุ่มสื่อสารและ REITs มีโอกาสเป็นแหล่งพักเงินที่ดี นับจากสถานการณ์โควิดปลายมิ.ย.63 กลุ่มที่เคลื่อนไหวแย่กว่าตลาดมากที่สุด 2 กลุ่ม คือ สื่อสารและกองรีทส์ ทำให้ทั้งสองกลุ่มนี้มีการถือครองโดยนักลงทุนสถาบันและทั่วไปในระดับต่ำ (under-owned) ส่งผลให้ความเสี่ยงจากแรงขายทำกำไรต่ำ และเริ่มประเมินมีโอกาสเป็นแหล่งพักเงินที่ปลอดภัยในช่วงที่ตลาดกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงการปรับประมาณการผลประกอบการที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เรามองทยอยสะสม ADVANC, DTAC, FTREIT, WHART / เก็งกำไรแบบกำหนดจุดตัดขาดทุน JAS, ALT / ทยอยสะสมสาธารณูปโภค RATCH, EASTW, WHAUP, TTW / กลุ่มอาหารและเกษตร TVO, TU, CPF, GFPT, TWPC / เก็งกำไร กลุ่มเดินเรือ PSL, TTA, RCL / เก็งกำไรกลุ่มอุปกรณ์การแพทย์ SMD, TM, WINMED, BIZ

ภาพรวมกลยุทธ์: อาจผันผวนสะท้อนภาพตลาดเอเชียที่ปรับลดลงในวันจันทร์ ยังประเมินฟื้นตัวไม่เกิน 1,565 จุด ใช้จังหวะดีดตัวในการขายเพิ่มการถือเงินสด และยังเน้นเพียง เลือกเก็งกำไรรายตัวระหว่างรอจุดซื้อที่ดี  // หุ้นแนะนำ: KEX*, SAPPE*, STARK*, TFG*

แนวรับ: 1,535/ แนวต้าน : 1,550-1,563 จุด สัดส่วน : เงินสด 60% : พอร์ตหุ้น 40%

ประเด็นการลงทุน

เยลเลนเตือนสหรัฐฯจ่อผิดนัดชำระหากไม่ปรับเพิ่มเพดานหนี้. และเรียกร้องให้สภาคองเกรสปรับเพิ่มเพดานหนี้โดยเร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ในเดือน ต.ค. นี้

สแตนดาร์ดฯ คาดเศรษฐกิจไทยปี 65 โต 3.1%. จากปี 64 โต 1.8% มองว่าประเทศไทยจะกลับมาเปิดเมืองและมีการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆในประเทศได้ตามปกติต่อเนื่องจากช่วงปลายปี 64

AZ ย้ำส่ง 5-6 ล้านโดสต่อเดือน. แอสตร้าเซนเนก้า (AZ) ย้ำจัดส่งวัคซีนไทยได้ 5-6 ล้านโดสต่อเดือน เผยส่งมอบไปแล้ว 11.3 ล้านโดส สัปดาห์นี้ส่งอีก 2.3 ล้านโดส ส่วนองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เซนต์นำเข้า โมเดอร์นา5 ล้านโดส ทยอยเข้าไตรมาส 4/64

ค่าระวางเรือ - ดัชนี Baltic Dry Index เพิ่มขึ้น 0.34% สู่ 3,210 จุด โดยค่าระวางเรือใหญ่มาก (Capesize) +0.88% / ค่าระวางเรือใหญ่ (Panamax) -0.45% / ค่าระวางเรือกลาง (Supramax) +0.43% / ค่าระวางเรือเล็ก (Handysize) +0.67%

ประเด็นติดตาม: -  27 ก.ค. – US Consumer Confidence เดือน ก.ค. / 28 ก.ค. วันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ / 29 ก.ค. – FOMC Meeting, US GDP 2Q21, US Initial Jobless Claims

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)