'ล็อกดาวน์' ที่แตกต่าง บนสถานการณ์เลวร้าย

'ล็อกดาวน์' ที่แตกต่าง บนสถานการณ์เลวร้าย

"ล็อกดาวน์" เต็มรูปแบบใน "พื้นที่สีแดงเข้ม" เริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 19 ก.ค.2564 ครอบคลุม 13 จังหวัด ทว่าการล็อกดาวน์ในครั้งนี้คือการล็อกดาวน์บนสถานการณ์ที่เลวร้ายที่อาจไม่คลี่คลายได้ง่ายเหมือนปีที่แล้ว

การประกาศ "ล็อกดาวน์" เต็มรูปแบบใน "พื้นที่สีแดงเข้ม" ของการระบาดโรค "โควิด-19" จะเริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 19 ก.ค.2564 ครอบคลุม 13 จังหวัด ประกอบด้วยกรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรปราการ สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา ซึ่ง 3 จังหวัดหลังเป็นการขยายพื้นที่ล็อกดาวน์ที่ประกาศมาก่อนหน้านี้ และมาตรการล็อกดาวน์ที่ประกาศล่าสุดมีความเข้มข้นระดับเดียวกับการประกาศเมื่อเดือน มี.ค.2563

สถานการณ์ก่อนการประกาศล็อกดาวน์เต็มรูปแบบ แตกกันอย่างชัดเจน โดยการประกาศเพื่อควบคุมการระบาดระลอกที่ 1 เมื่อวันที่ 25 มี.ค.2563 มี "จำนวนผู้ติดเชื้อสะสม" ก่อนประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศจำนวน 934 ราย แต่มีการประกาศ "ล็อกดาวน์ทั่วประเทศ" อย่างเข้มข้น โดยห้ามออกจากเคหสถานในเวลากลางคืน รวมทั้งมีการประกาศห้ามกิจกรรมทางเศรษฐกิจทันที เช่น ห้างสรรพสินค้าที่เปิดได้เฉพาะส่วนซูเปอร์มาร์เก็ต และเริ่มทยอยคลายล็อกดาวน์บางกิจกรรมเมื่อผ่านไป 1 เดือน

ในขณะที่การประกาศล็อกดาวน์การระบาดระลอกที่ 3 ดำเนินการเป็น 3 ระยะ นับตั้งแต่การประกาศล็อกดาวน์แคมป์คนงานและร้านอาหารตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย.2564 ในพื้นที่ 6 จังหวัด แต่สถานการณ์ไม่ดีขึ้นจึงทำให้ประกาศล็อกดาวน์เพิ่มเติมในวันที่ 10 ก.ค.2564 ในพื้นที่ 10 จังหวัด โดยห้ามเดินทางออกนอกเคหสถานในเวลากลางคืน และปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น ทำให้รัฐบาลต้องจัดงบประมาณสำหรับการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ 42,000 ล้านบาท

การประกาศล็อกดาวน์เต็มรูปแบบมีผลในวันที่ 19 ก.ค.2564 เป็นการประกาศบนสถานการณ์การระบาดที่รุนแรง โดย 1 วันก่อนที่ประกาศจะมีผลใช้บังคับมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ถึง 11,397 ราย

รวมแล้วมีผู้ติดเชื้อสะสมนับตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2564 ถึงวันที่ 18 ก.ค.2564 มีจำนวนถึง 374,523 ราย ถือเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างกันระหว่างการประกาศล็อกดาวน์ในปี 2563 กับการล็อกดาวน์ครั้งปัจจุบัน ซึ่งมีสถานการณ์ที่รุนแรงและอะไรที่ทำให้รัฐบาลมั่นใจว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้จนปล่อยให้สถานการณ์มาถึงปัจจุบัน

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้พบข้อผิดพลาดในการตัดสินใจของผู้บริหารประเทศ นับตั้งแต่การตัดสินใจซื้อวัคซีนที่ไม่ได้ตัดสินใจบนสมมติฐานการระบาดรุนแรงระดับปัจจุบันและการมีเชื้อกลายพันธุ์ รวมทั้งมีข้อผิดพลาดในการตัดสินใจล็อกดาวน์ล่าช้า ปล่อยให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันสูงเกินวันละ 10,000 คนจึงมีการล็อกดาวน์เต็มรูปแบบ และมีข้อผิดพลาดของ "ซิงเกิล คอมมานด์" ที่ไม่สามารถรับมือกับการระบาดในปัจจุบัน การล็อกดาวน์ในครั้งนี้จึงเป็นการล็อกดาวน์บนสถานการณ์ที่เลวร้ายที่อาจไม่คลี่คลายได้ง่ายเหมือนปีที่แล้ว