ส่องเหตุ ‘คนละครึ่งเฟส3’ ไม่ปัง คนไทยเงินออมทรุด ฉุดกำลังซื้อ

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังของรัฐบาลที่ใช้วงเงินมากที่สุดคือโครงการคนละครึ่งเฟส 3 ที่เตรียมวงเงินไว้กว่า 9.3 หมื่นล้านบาท หลังจากเปิดลงทะเบียนไป 2 สัปดาห์ยอดลงทะเบียนเหลือกว่า 2.6 ล้านสิทธิ์ สาเหตุอาจเกิดจากเงินออมที่ลดลงส่งผลต่อนโยบาย
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังของรัฐบาลที่มีการใช้เม็ดเงินมากที่สุดในขณะนี้คือ “โครงการคนละครึ่งเฟส3” ที่ใช้วงเงินกว่า 9.3 หมื่นล้านบาท เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรวม 31 ล้านสิทธิ์
โดยคาดหวังว่าจะมีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 1.86 แสนล้านบาท จากการสมทบเงินระหว่างภาครัฐและประชาชนคนละ 3,000 บาท ระยะเวลาการใช้จ่ายตั้งแต่เดือน ก.ค. - ธ.ค. โดยโครงการนี้มีกำหนดที่จะเริ่มต้นในวันที่ 1 ก.ค.นี้
หลังจากได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) กระทรวงการคลังได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนวันแรกในวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา หลังจากที่ผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ จากการตรวจสอบพบว่ายอดการลงทะเบียนขอใช้สิทธิ์ในโครงการคนละครึ่งเฟส 3 ผ่านทางเว็บไซด์คนละครึ่ง.com ยังคงเหลือสิทธิ์กว่า 2.6 ล้านสิทธิ์
เป็นประเด็นที่น่าตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับโครงการคนละครึ่งที่โดยปกติเมื่อเปิดให้ลงทะเบียนประชาชนก็จะมีการแย่งกันลงทะเบียนจนระบบล่ม และสิทธิ์เต็มภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่ในครั้งนี้ผ่านไปกว่า 2 สัปดาห์ยอดลงทะเบียนยังเหลือมากถึง 2.6 ล้านสิทธิ์
นนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส นโยบายเศรษฐกิจส่วนรวมและเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโดยโครงการคนละครึ่ง ซึ่งเป็นนโยบายร่วมจ่ายระหว่างภาครัฐกับประชาชนหรือนโยบาย Co-pay ซึ่งถือว่าเป็นมาตการที่ดีอยู่แล้วทำให้คนที่ใช้สิทธิคิดพิจารณาถี่ถ้วนขึ้นและรัฐประหยัดงบประมาณ
อย่างไรก็ตามโครงการคนละครึ่งมีการตั้งเงื่อนไขว่าคนที่เข้าร่วมโครงการต้องอายุเกิน 18 ปี และไม่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทำให้จำนวนคนที่มีสิทธิจะลดลงมากพอสมควร นอกจากนี้คนที่อยากเข้าแต่อาจจะไม่สะดวกกับเทคโนโลยี หากภาครัฐควรจะหาทางเชื่อมคนกลุ่มหลังเข้าไปในโครงการให้ได้มากขึ้นก็จะทำให้โครงการมีความน่าสนใจมากขึ้น
“คนละครึ่งที่เหลือเกือบ3 ล้านสิทธิสะท้อนว่าภาครัฐได้ช่วยกลุ่มคนบางส่วนในอีกช่องทางอื่นไปแล้ว แต่ยังเหลือกลุ่มเฉพาะที่ควรเพิ่มการเข้าถึงจุดอ่อนอยู่ที่การเข้าถึงประชาชนบางส่วน ที่รัฐควรจะหาทางดึงเขาเข้ามา และช่วยให้ได้ประโยชน์จากโครงการนี้มากขึ้น”นายนณริฏ กล่าาว
จากข้อมูลของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)ได้เปิดเผยในรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสที่ 1/2564 ว่าดัชนีเงินฝากต่อบัญชีของครัวเรือนไทยที่มีเงินต่ำกว่า 50,000 และ 100,000 บาทเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่เดือน มี.ค.2563 เป็นต้นมา และปรับลดลงไปมากกว่าเดิมเมื่อเกิดการแพร่ระบาดในระลอกที่ 2 และ 3 ของปีนี้โดยดัชนีเงินฝากของผู้ที่มีเงินในบัญชีไม่เกิิน 50,000 และ 100,000 บาท ปรับลดลงจาก 98 เป็น 94 ซึ่งเป็นการปรับลดลงหลังจากที่มีการแพร่ระบาดของโควิดในระลอกที่ 2 และ 3 เกิดขึ้น และแนวโน้มดัชนียังเป็นขาลงสะท้อนว่าเงินออมของครัวเรือนไทยลดลงสวนทางกับหนี้สินที่เพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน อนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าจากยอดลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งที่ยังไม่เต็มจำนวนนั้น รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังกำลังศึกษาว่าจะมีการปรับเปลี่ยนโครงการอย่างไร รวมทั้งรับเอาข้อเสนอของภาคเอกชนที่ให้เพิ่มวงเงินในโครงการนี้เป็น 6,000 บาทต่อคนจากเดิม 3,000 บาทต่อคน โดยในส่วนนี้หากมีการเพิ่มจริงก็จะใช้เงินจาก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 วงเงินใหม่ 5 แสนล้านบาท แต่คาดว่ากระทรวงการคลังคงจะประเมินผลการใช้งานโครงการคนละครึ่งเฟส 3 ก่อนสักระยะก่อนที่จะเสนอให้รัฐบาลเพิ่มวงเงินหรือไม่ โดยการเพิ่มวงเงินให้อีกเท่าตัวก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะจูงใจให้คนที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนให้มาลงทะเบียนได้เพิ่มขึ้น
ด้านสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่าภาคเอกชนได้เสนอไปยังรัฐบาลแล้วว่าควรปรับเพิ่มวงเงินในโครงการคนละครึ่งเป็น 6,000 บาท จากเดิม 3,000 บาทต่อคน เนื่องจากโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการจับจ่าย เพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน ทั้งนี้มองว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจจะต้องเริ่มทำในช่วงนี้เพื่อให้เกิดความคึกคักทางเศรษฐกิจต่อเนื่องไปจนถึงการเปิดประเทศภายใน 120 วัน ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี




