SECURE ลุยปั้นธุรกิจโต ขึ้นแท่นเบอร์1 'รายได้-กำไร'

SECURE ลุยปั้นธุรกิจโต ขึ้นแท่นเบอร์1 'รายได้-กำไร'

เร่งขยาย 'ธุรกิจการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์' ตามเทรนด์ของโลก ! 'จุดขาย' น้องใหม่ไอพีโอ 'เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว' ระดมทุน 1 ก.ค. นี้ ราคาหุ้นละ 16 บาท 'นักรบ เนียมนามธรรม' ผู้ก่อตั้ง โชว์พันธกิจผลักดันบริษัทขึ้นแท่น ผู้นำเบอร์หนึ่งรายได้-กำไร !

เมื่อ 'ความรอบรู้' เรื่องการทำธุรกิจของ 'นักรบ เนียมนามธรรม' ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว หรือ SECURE บริษัทน้องใหม่ที่เตรียมขายหุ้นไอพีโอในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 1 ก.ค. นี้ ในราคาหุ้นละ 16.00 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท หลังเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 27.74 ล้านหุ้น 

ราคาหุ้น IPO มาจากการสำรวจราคาและความต้องการของนักลงทุนสถาบัน (Institute Book Build) โดยระดับ P/E อยู่ที่ 25 เท่า ให้ส่วนลดกับนักลงทุนเล็กน้อย

ด้วย 'จุดเด่น' ของ SECURE มาจากปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง หากพิจารณาในแง่ของตัวธุรกิจที่เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์โซลูชั่นด้านการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์ และให้บริการที่เกี่ยวข้องมา 15 ปี อีกทั้งผลประกอบการเติบโตในทิศทางที่ดีมาตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ทำให้บริษัทเป็นที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวโน้มในอนาคตยังสามารถที่จะเติบโตต่อไปได้อีกมาก

ส่งผลให้บริษัทมี 'นักลงทุนสถาบันในประเทศ' ที่ให้ความสนใจเข้าลงทุนหลายราย ซึ่งหาได้ยากในการที่นักลงทุนสถาบันจะเข้ามาลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก โดยที่สัดส่วนในการจัดสรร IPO ให้กับนักลงทุนสถาบันในครั้งนี้มีสัดส่วน 25% และส่วนที่เหลือจะจัดสรรให้กับนักลงทุนรายย่อย 

'นักรบ' ดีกรีจบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า และมีประสบการณ์การทำงานด้านการดูแลระบบเครือข่ายกับบริษัทชั้นนำหลายแห่งด้วยกัน อาทิ บริษัท ซูมิโตโม อิเล็กทริก คอมมูนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด , บริษัท แอนนิกเตอร์ อิงค์ และบริษัท อัลคาเทล (ประเทศไทย) จำกัด พยายามย้ำความปราดเปรื่องให้ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' ฟัง

'เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว' ผู้ประกอบธุรกิจตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์โซลูชั่นด้านการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์ (Cyber security) และให้บริการที่เกี่ยวข้องที่มีลูกค้าหลายกลุ่ม และเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีสัญชาติไทยเพียงรายเดียว !!

เมื่อธุรกิจการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์ (Cyber security) ! กำลังเป็นเทรนด์ของโลกยุคใหม่ บ่งชี้ผ่าน 'ความต้องการ' (ดีมานด์) เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยมูลค่าการใช้จ่ายด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของภูมิภาคอาเซียนในช่วงปี 2558–2568 มีอัตราการเติบโตประมาณ 15% ต่อปี และมองว่าอนาคตหลังทุกองค์กรทั้งระดับเล็ก-กลาง-ใหญ่ เห็นความสำคัญและต้องการระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลของตัวเอง แม้ต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง แต่เพื่อป้องกันหรือลดความเสียหาย เนื่องจากมีโอกาสที่จะโดนเจาะข้อมูลได้ง่ายมากขึ้นในปัจจุบันจะผลักดันให้อุตสาหกรรมเติบโตต่อเนื่อง 

ดังนั้น เมื่อเห็นโอกาสชัดๆ ว่าธุรกิจยังมีช่องทางการเติบโตอีกมาก ฉะนั้น ภารกิจแรกที่ต้องทำ นั่นคือ อยากผลักดันบริษัทเข้ามานำระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หากต้องการต่อยอดธุรกิจให้มีอัตราการเติบโตในอนาคต ซึ่งแผนการระดมทุนคือ 'ธงผืนใหญ่' เขาบอกเช่นนั้น !! 

การนำบริษัทเข้าตลาดหุ้น จะไม่ได้ประโยชน์เพียงแค่มีช่องทางการหาเงินทุนมากขึ้น แต่จะได้เรื่องหน้าตา และความน่าเชื่อถือเต็มๆ มาตรฐานของบริษัทจะถูกยกระดับขึ้นทันที ที่สำคัญยังสามารถดึงดูด พันธมิตรใหม่ๆ เข้ามาเพื่อให้บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายเพิ่มอีกด้วย 

'แค่เราเปิดตัวว่าจะนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหุ้น เจ้าของสินค้าต่างชาติก็ติดต่อเข้ามาให้เราเลือกเป็นตัวแทนจำหน่ายให้หลายราย สวนทางจากในอดีตที่บริษัทต้องติดต่อเข้าไปเพื่อขอเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าให้ แต่ปัจจุบันเราเป็นฝ่ายที่เลือกสินค้ามาทำตลาดในไทยบ้าง'

เมื่อเป้าหมายสำคัญต้องการขึ้นเป็น 'ผู้นำเบอร์หนึ่งในแง่ของรายได้-กำไร' โดยปัจจุบันบริษัทเป็นผู้ประกอบการไทยรายเดียวในตลาดนอกนั้นจะเป็นผู้ประกอบการต่างชาติทั้งหมด ซึ่งในปัจจุบันบริษัทมี 'ส่วนแบ่งทางการตลาด' (มาร์เก็ตแชร์) อยู่ที่ระดับ 20% และติดอันดับ 1 ใน 4 ของผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาด ดังนั้น หากต้องการที่จะขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งให้ได้นั้นบริษัทจะต้องมีรายได้แตะระดับ 800-900 ล้านบาทขึ้นไป

สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ ! อยากได้เงินมาสร้างการเติบโตในอนาคต สะท้อนผ่าน 'เพื่อใช้สร้างศูนย์ให้บริการด้านเทคนิค' (Technical Support Center) มูลค่า 20 ล้านบาท ภายในไตรมาส 1 ปี 2565 'การลงทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์' (Cyber security) มูลค่า 50 ล้านบาท ภายในไตรมาส 1 ปี 2565 'การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัท' มูลค่า 100 ล้านบาท ภายในไตรมาส 4 ปี 2565 และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน 

โดยปัจจุบันมองว่าบริษัทยังมีช่องทางการเติบโต เนื่องจากหากบริษัทหรือองค์กรเริ่มลงทุนด้านไอที หรือโครงสร้างพื้นฐาน จะต้องมีการใช้บริการด้านผลิตภัณฑ์ Cyber security แทรกอยู่ประมาณ 15-20% ซึ่งสัดส่วนรายได้ของบริษัทส่วนใหญ่มาจากภาคเอกชนกว่า 50% โดยมีรายได้จากการเป็นตัวแทนขายผลิตภัณฑ์ Cyber security 96% ซึ่งคาดว่าในอนาคตจะมีผลิตภัณฑ์ที่ผลิตเป็นของตนเอง และรายได้อื่นๆ มาจากการให้บริการหลังการขายประมาณ 4% 

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความมั่นใจในการต่อยอดการเติบโตของธุรกิจต่อไปหลังจากการระดมทุนในครั้งนี้ โดยที่ผ่านท่ามกลางภาวะทางเศรษฐกิจไทยรวมถึงทั่วโลกที่ชะลอตัว จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่บริษัทยังสามารถทำผลการดำเนินงานออกมาได้ดีต่อเนื่อง จากการที่การใช้บริการออนไลน์ต่างๆ มีปริมาณที่มากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ มีความต้องการใช้ระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) เพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน

สำหรับผลประกอบการย้อนหลังในช่วง 3 ปี (2561-2563) ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 575.70 ล้านบาท 650.78 และ 639.14 ตามลำดับ ส่วนกำไรสุทธิจำนวน 69.46 ล้านบาท 58.42 ล้านบาท และ 23.73 ล้านบาท ตามลำดับ

ขณะที่ไตรมาส 1 ปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 27.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 488.29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้รวม 282.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.44% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

'เราถือเป็นผู้บุกเบิก Cybersecurity Distributor ในไทย แม้ว่าเราเป็นบริษัทไทยเล็กๆที่เริ่มขึ้นมา แต่เรามองมาในอนาคตก็เห็นโอกาสสร้างการเติบโตของธุรกิจ และปัจจุบันเริ่มเห็นกระแสความต้องการในการใช้ระบบ Cybersecurity เพิ่มมากขึ้นทุกวันในแทบทุกอุตสาหกรรม และในอนาคตการทำธุรกรรมไอทีหรือออนไลน์ต่างๆ จำเป็นต้องใช้ระบบ Cybersecurity เข้ามาช่วยเหลือ เพื่อป้องกันการโจมตี ซึ่งเป็นปัจจัยบวกให้บริษัทสามารถสร้างการเติบโตต่อเนื่องได้ และเรานำเงิน IPO ครั้งนี้ไปต่อยอดศักยภาพการแข่งขัน ให้เราสามารถแข่งจันกับผู้ประกอบการจากต่างประเทศได้'

ท้ายสุด 'นักรบ' ทิ้งท้ายไว้ว่า เชื่อว่าธุรกิจ SECURE เกี่ยวข้องกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ในโลกออนไลน์ทั้งหมด การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ก็จะมีความจำเป็นสำหรับทุกท่าน เริ่มจากบริษัทใหญ่ บริษัทระดับกลาง หรือมาถึงระดับบุคคลก็มีความจำเป็น