‘เงินบาท’ วันนี้เปิด ‘อ่อนค่า’ที่31.47บาทต่อดอลลาร์

‘เงินบาท’ วันนี้เปิด ‘อ่อนค่า’ที่31.47บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทอ่อนค่าตามการแข็งค่าของดอลลาร์หลังนักลงทุนระวังเฟดอาจเริ่มนโนบายการเงินเข้มงวดขึ้นหากการแจกจ่ายวัคซีนในไทยยังไม่สามารถเร่งตัวขึ้นมากกว่านี้ได้ นักลงทุนต่างชาติอาจทยอยขายหุ้นทำกำไร คาดวันนี้เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 31.40-31.55บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์  นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า  ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  31.47 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลง จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า  ที่ระดับ 31.45 บาทต่อดอลลาร์

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.40-31.55 บาทต่อดอดอลลาร์และมองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 31.20-31.60 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทมีโอกาสเคลื่อนไหวอ่อนค่าลง  โดยในส่วนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่านั้นอาจมาจากทั้ง เงินดอลลาร์ โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำของบรรดาผู้เล่นในตลาดทองคำที่รอ Buy on Dip และ ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติโดยเรามองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อในระยะสั้น หลังผู้เล่นในตลาดทยอยลดสถานะ “Short” อนึ่ง ต้องระวังถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดสายกลาง(Neutral) ที่อาจเริ่มมาสนับสนุนนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น(Hawkish)

ในส่วนของฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ เรากังวลว่า หากการแจกจ่ายวัคซีนในไทยยังไม่สามารถเร่งตัวขึ้นมากกว่านี้ได้ อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติเกิดความกังวลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจและทยอยขายทำกำไรหุ้นไทยได้กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงจนกว่าการแจกจ่ายวัคซีนจะเร่งตัวขึ้นได้ดีขึ้น (อย่างน้อยเฉลี่ยวันละ 5 แสนโดสขึ้นไป หากต้องการให้ถึงเป้าหมายสร้างภูมิคุ้มกัน 50% ของประชากรภายในปีนี้)

อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินบาทจะไม่อ่อนค่าไปมาก เพราะฝั่งผู้ส่งออกก็ทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าใกล้ระดับ 31.50-31.60 บาทต่อดอลลาร์ อีกทั้ง เราคาดว่า หากเงินบาทอ่อนค่าลงไปมากในระยะสั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีโอกาสทยอยขายเงินดอลลาร์ เพื่อลดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ (FX Reserves) ออกมาบ้าง ซึ่งจะช่วยลดโอกาสถูกสหรัฐฯ มองว่า ประเทศไทยมีการแทรกแซงค่าเงินบาทในทิศทางเดียว ทำให้เงินบาทยังคงแกว่งตัวในกรอบไม่เกิน 31.60 บาทต่อดอลลาร์

ขณะที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวแข็งแกร่ง ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับประมาณการเศรษฐกิจดีขึ้นและมองว่าจะขึ้นดอกเบี้ยราว 50bps (หรือ 2 ครั้ง) ได้ในปี 2023

ส่วนในสัปดาห์นี้ ควรติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงถ้อยแถลงบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่อแนวโน้มการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน พร้อมทั้งติดตามผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันพุธโดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้

ฝั่งสหรัฐฯเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงเดินหน้าฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง หนุนโดยการแจกจ่ายวัคซีนที่ครอบคลุมประชากรราว50% ทำให้ทั้งภาคการผลิตอุตสาหกรรมและการบริการยังคงขยายตัวต่อเนื่องในเดือนมิถุนายนจากความต้องการบริโภคหลังมาตรการ Lockdown ผ่อนคลายลง สะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและการบริการโดย Markit (Manufacturing & Services PMIs) ที่ระดับ 61.5จุด และ 70 จุด ตามลำดับ (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึงการขยายตัว)

ขณะเดียวกันตลาดแรงงานก็ฟื้นตัวดีขึ้น โดยยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) จะลดลง สู่ระดับ 3.8 แสนราย หนุนโดยการทยอยยุติเงินช่วยเหลือผู้ตกงานเพิ่มเติมในหลายรัฐ ทั้งนี้ภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้นและระดับฐานราคาสินค้าในปีก่อนหน้าที่ต่ำไปมากในช่วงวิกฤติ COVID-19 จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (PCE) เดือนพฤษภาคม พุ่งขึ้นสู่ระดับ 3.9%

อย่างไรก็ดี การเร่งตัวขึ้นของเงินเฟ้ออาจเป็นปัจจัยเพียงชั่วคราว สะท้อนจากมุมมองของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งยังไม่กังวลต่อทิศทางเงินเฟ้อมากนัก ทั้งนี้ ตลาดจะติดตาม มุมมองของเจ้าหน้าที่เฟดต่อแนวโน้มการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดถึง 4 ท่าน อาทิ Williams, Daly (วันอังคาร) และ Bowman, Bostic (วันพุธ)

ทางด้านฝั่งยุโรปเศรษฐกิจยุโรปยังคงส่งสัญญาณฟื้นตัวที่ดีขึ้น หลังการแจกจ่ายวัคซีนคืบหน้ามากขึ้น (ครอบคลุมประชากรราว 36%) โดยทั้งฝั่งภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการยังมีการขยายตัว ชี้จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและการบริการที่ระดับ 62.1 จุด และ 57.9 จุด ตามลำดับ

นอกจากนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจที่สดใสจะช่วยหนุนให้ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) เดือนมิถุนายน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 100.6 จุด ทั้งนี้ ในฝั่งอังกฤษ ยังคงต้องติดตามการระบาดของ โควิด-19 ระลอกใหม่ที่อาจกดดันการฟื้นตัวเศรษฐกิจได้ หากการระบาดทวีความรุนแรงมากขึ้นและควบคุมไม่ได้ ซึ่งปัญหาการระบาดดังกล่าวจะกดดันให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Bank Rate) ที่ระดับ 0.10% และเดินหน้าอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการซื้อสินทรัพย์ (QE) เพื่อหนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ แม้การแจกจ่ายวัคซีนจะครอบคลุมประชากรถึง 55%

ส่วนในฝั่งเอเชียความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึง Semiconductor Chip จะช่วยหนุนให้ยอดการส่งออกเกาหลีใต้ในช่วง 20 วันแรกของเดือนพฤษภาคม อาจโตกว่า 50%y/y อนึ่ง แม้ว่าเศรษฐกิจในหลายประเทศจะฟื้นตัวดีขึ้น แต่ธนาคารกลางของทุกประเทศในเอเชียจะเลือกเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป โดยเฉพาะการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ โดยในฝั่งจีน PBOC จะคงอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง (Loan Prime Rate) อายุ 1 ปี และ 5 ปี ที่ระดับ 3.85% และ 4.65% ตามลำดับ ส่วนในฝั่งของธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) ก็จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Overnight Rate) ที่ 2.00% หลังเศรษฐกิจยังคงซบเซาจากปัญหาการระบาดของCOVID-19 และการแจกจ่ายวัคซีนที่ล่าช้า

และในฝั่งไทยภาคการส่งออกยังคงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังคงบอบช้ำจากปัญหาการระบาดของ COVID-19 โดยตลาดมองว่ายอดการส่งออก (Exports) เดือนพฤษภาคม อาจโตขึ้นกว่า 35%y/y หนุนโดยจากความต้องการสินค้าทั่วโลก ขณะที่ยอดการนำเข้า (Imports) จะโตกว่า 53%y/y ตามการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อการส่งออกเป็นหลัก

ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าและยังคงเผชิญปัญหาการระบาดของโควิด-19 จะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50% และเน้นช่วยเหลือภาคธุรกิจรวมถึงครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบหนักผ่านมาตรเร่งรัดกระจายสินเชื่อหรือ Soft Loans มากกว่าที่จะลดดอกเบี้ยนโยบายลง นอกจากนี้ เรามองว่า ธปท. อาจปรับลดประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจแย่ลงจากประมาณการในเดือนมีนาคม หลังการระบาดของโควิด-19 ยังไม่มีแนวโน้มสงบลง และ การแจกจ่ายวัคซีนก็ล่าช้ามาก (ครอบคลุมประชากร 5.4%)