'โควิด-19เดลตา'เจอในไทยแล้ว 20 จังหวัด 'เบตา'ขยับออกนอกอ.ตากใบ

'โควิด-19เดลตา'เจอในไทยแล้ว 20 จังหวัด 'เบตา'ขยับออกนอกอ.ตากใบ

กรมวิทย์เผยโควิด-19 อัลฟายังครองไทย ส่วนเดลตาเพิ่มขึ้น เจอแล้วใน 20 จ. จับตาใกล้ชิดรายสัปดาห์ หากแพร่ก้าวกระโดด คาด 2-3 เดือนเป็นสายพันธุ์ที่ระบาดมากขึ้น แย่งสัดส่วน 50%จากอัลฟา เหตุแพร่เร็วกว่า 40% ส่วนเบตาขยับเจอนอกอ.ตากใบ

เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบสายพันธุ์ที่พบในประเทศไทย จากตัวอย่างเชื้อที่ส่งข้ามายังกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระหว่างวันที่ 7 เม.ย. -13 มิ.ย. จำนวน 5,055 ตัวอย่าง พบว่าส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) 4,528 ราย คิดเป็น 89.6% สายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) เพิ่มขึ้น 137 ราย จาก 359 รายที่รายงานไปก่อนหน้านี้ เป็น 496 คน พยมากที่สุดในกทม.สะสม 404 ราย เป็นรายใหม่ 86 ราย และ ยังพบ 10 ราย ในรพ.กลางกรุงเทพฯ 3-4 แห่ง อัตราการเพิ่มขึ้น จาก 8% เป็น 9.8%
นอกจากนี้ ยังพบเพิ่มที่ ปทุมธานี 28 ราย นครนายก 8 ราย สกลนคร 3 ราย พะเยา 2 ราย อุบลราชธานี 2 ราย เชียงราย เพชรบูรณ์ ชลบุรี จันทบุรี ขอนแก่น อุดรธานี เลย และบุรีรัมย์ จังหวัดละ 1 ราย และก่อนหน้านี้มีรายงานพบที่จ.พิษณุโลก สมุทรสาคร ร้อยเอ็ด จังหวัดละ 1 ราย นนทบุรี สระบุรี ชัยภูมิ จังหวัดละ 2 ราย รวมมีรายงานเจอแล้วใน 20 จังหวัด

ขณะที่สายพันธุ์เบตา (แอฟริกาใต้) ที่เริ่มพบที่อ.ตากใบ จ.นราธิวาสเดิมพบ 26 ราย ขณะนี้พบเพิ่มอีก 2 ราย นอกอ.ตากใบ แต่ยังอยู่ในจ.นราธิวาส ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ นอกจากนี้ ยังพบอีก 3 ราย สถานกักกันตัวของรัฐจ.สมุทรปราการ

“ความสามารถในการแพร่เชื้อของสายพันธุ์เดลตา มากกว่าสายอัลฟา 40% ซึ่งต้องมีการจับตาอย่างใกล้ชิด เป็นรายสัปดาห์ หากสถานการณ์ยังทรงๆ อาจจะไม่มีปัญหา แต่หากยังมีการแพร่ระบาดแบบก้าวกระโดด คาดว่าประมาณ 2-3 เดือน อาจจะเป็นสายพันธุ์ที่ระบาดมากขึ้น สัดส่วนครึ่งต่อครึ่งกับสายพันธุ์อัลฟา ส่วนในต่างจังหวัดที่พบเชื้อสายพันธุ์เดลตานั้นพบว่ามีความเชื่อมโยงกับผู้ติดเชื้อในกรุงเทพฯ มาก่อน โดยเฉพาะแคมป์คนงานหลักสี่ ข้อมูลที่กรมวิทย์ฯ ออกมารายงานให้ทราบสสม่ำเสมอนั้น ไม่ได้ต้องการทำให้ตกใจ แต่เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา การเฝ้าระวังเพื่อการควบคุมโรค ” นพ.ศุภกิจ กล่าว

ด้านนพ.บัลลังก์ อุปพงษ์ รองอธิบดีกรมวิทย์ กล่าวว่า ขณะนี้มีการศึกษาวิจัยการเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคหลังฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม ใน 200 คน โดยนำเลือด หรือซีรั่ม มาตรวจสอบกับเชื้อโรคโควิดสายพันธุ์ต่างๆ พบว่าเมื่อตรวจกับเชื้อสายพันธุ์ดั้งเดิมมีภูมิฯ ขึ้นสูง 100% สายพันธุ์อัลฟา ภูมิขึ้น 50-60% จะมีตรวจเพิ่มเติมในผู้ที่ฉีดครบ 2 เข็มแล้วเป็นเวลา 3 เดือน 6 เดือน อีกครั้ง และขณะนี้กำลังทดสอบในคนฉีดวัคซีนของแอสตร้าฯ 1 เข็ม รวมทั้งจะทำการทดสอบกับเชื้อเดลตา และเบตา เพื่อดูถึงประสิทธิภาพวัคซีนที่ได้รับขณะนี้ด้วย

นพ.อาชวินทร์ โรจนวิวัฒน์ ผอ.สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า การตรวจสายพันธุ์ต่างๆ เป็นการสุ่มตรวจเพื่อเป็นแนวทางเฝ้าระวัง โดยจะสุ่มตัวอย่างจาก 1.กลุ่มที่มีอาการรุนแรง 2.กลุ่มที่มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ 3.พื้นที่ที่ไม่เคยระบาดแต่มีการพบเชื้อ 4.ตามชายขอบชายแดน และ 5.กลุ่มที่ได้รับวัคซีนแล้วยังติดเชื้อ