กต. ยัน 'ไทย' ไม่เอียงหา 'สหรัฐ' แจงยิบสัมพันธ์ 'จีน'

กต. ยัน 'ไทย' ไม่เอียงหา 'สหรัฐ' แจงยิบสัมพันธ์ 'จีน'

โฆษก กต. แจงยิบ พร้อมยืนยัน ไทยรักษาดุลอำนาจสหรัฐ - จีน เหตุถูกกล่าวหาไทยเอนเอียงเข้าหาสหรัฐ หลังมีข่าวจะได้รับวัคซีนโควิด-19 จำนวน 80 ล้านโดส จนทำให้จีนไม่พอใจหลายเรื่อง

นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีมีรายงานพาดพิงการดำเนินงานของกระทรวงการต่างประเทศว่า ไทยเอนเอียงเข้าข้างสหรัฐ จนทำให้จีนไม่พอใจ และส่งสัญญาณชะลอการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทยคนใหม่ รวมทั้งไม่อนุญาตให้นักศึกษาไทยเดินทางกลับไปเรียนต่อในจีน ว่า 

ไทยให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างสมดุลกับทั้งสหรัฐ และจีน ไทยกับจีนมีความสัมพันธ์หุ้นส่วนเชิงความร่วมมือทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน มีการเยือนและหารือกันอย่างต่อเนื่อง เช่น การหารือทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีจีนในการครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2563  การเยือนไทยของมนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศจีนเมื่อเดือนตุลาคม 2563 ซึ่งเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศคนแรกที่เยือนไทยหลังเกิดสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงการหารือทางโทรศัพท์ระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศ ไทย – จีนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์และเมษายน 2564 

นอกจากนี้ ไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมหารือเชิงยุทธศาสตร์ไทย - จีน ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีปลัดกระทรวงการต่างประเทศและผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีนเป็นประธาน 

ขณะนี้ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็กำลังประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน - จีน สมัยพิเศษ และการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ 6 ระหว่าง 6 - 8  มิถุนายน 2564 ที่นครฉงชิ่ง ประเทศจีนและจะหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศจีนอีกด้วย ความสัมพันธ์ไทย – จีน จึงยังใกล้ชิดแน่นแฟ้น โดยมีการหารือกันอย่างต่อเนื่องเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน

ส่วนกรณีนักศึกษาไทยที่ยังไม่สามารถเดินทางกลับไปเรียนต่อที่จีนได้นั้น นายธานีชี้แจงว่า ปัจจุบันรัฐบาลจีนยังไม่มีนโยบายให้นักศึกษาต่างชาติไม่ว่าจากประเทศใดเข้าจีน ไม่ใช่เฉพาะนักศึกษาจากไทยเท่านั้น โดยได้ให้ใช้การเรียนออนไลน์ไปก่อน 

กระทรวงการต่างประเทศตระหนักดีถึงความเดือดร้อนและเห็นใจนักศึกษาไทยที่ประสงค์จะเดินทางกลับไปศึกษาต่อในจีนอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถเรียนออนไลน์ได้ เช่น นักศึกษาแพทย์ปีสุดท้ายที่ต้องฝึกงานและต้องใช้ห้องปฏิบัติการ กระทรวงการต่างประเทศได้เร่งแก้ไขปัญหาโดย 

รองนายกฯดอน ได้สั่งการให้สถานเอกอัครราชทูตไทยหารือกับหน่วยงานจีน เพื่อหาทางออก และได้หารือกับมนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ทั้งในการเยือนไทยเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2563 และในการหารือทางโทรศัพท์ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2564 และผู้บริหารระดับสูงของทั้งกระทรวงต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ไทยต่าง ๆ ในจีนได้หยิบยกปัญหานี้ขึ้นหารือกับทางการจีนและสถาบันการศึกษาของจีนด้วยในหลายโอกาส

เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2564 ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้แจ้งเอกอัครราชทูตไทยว่า จีนเข้าใจความจำเป็นของนักศึกษาต่างชาติที่ประสงค์จะกลับจีน แต่หน่วยงานจีนยังกังวลต่อความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงบังคับใช้มาตรการดังกล่าวกับนักศึกษาต่างชาติจาก “ทุกประเทศ” 

กระทรวงต่างประเทศจีนเห็นว่า เมื่อจีนผ่อนคลายมาตรการแล้ว นักศึกษาไทยควรเป็นกลุ่มแรกที่จะได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับไปศึกษาต่อที่จีน และเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมาผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้แจ้งปลัดกระทรวงการต่างประเทศในการประชุมหารือเชิงยุทธศาสตร์ไทย - จีน ครั้งที่ 5 ว่า ฝ่ายจีนทราบดีว่าฝ่ายไทยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยหวังว่า เมื่อเงื่อนไขต่าง ๆ เอื้ออำนวย ปัญหาดังกล่าวน่าจะได้รับการแก้ไขโดยเร็ว

ส่วนข้อมูลที่อ้างว่า จีนเปิดให้นักศึกษาจากประเทศสมาชิกหลายประเทศเดินทางเข้าจีนได้แล้วตั้งแต่ในช่วงที่ไทยยังควบคุมโรคโควิด-19 ได้ดี นายธานียืนยันว่า จีนยังไม่อนุญาตให้นักศึกษาต่างชาติจากประเทศใดเดินทางเข้าจีน เนื่องจากยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับการนำเชื้อโควิด-19 จากต่างประเทศเข้ามาในจีน และเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2564 เอกอัครราชทูตไทยพร้อมด้วยเอกอัครราชทูตประเทศสมาชิกอาเซียนประจำจีน ได้ปรึกษาหารือในเรื่องนี้เพื่อหาทางผลักดันให้กระทรวงการต่างประเทศจีนช่วยเร่งรัดกับหน่วยงานจีนพิจารณาอนุญาตให้นักศึกษาต่างชาติ โดยเฉพาะจากประเทศในอาเซียนเดินทางกลับไปศึกษาต่อในจีนได้โดยเร็ว

ส่วนเรื่องการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยคนใหม่ นายหลิ่ว เจี้ยน อดีตเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ได้กลับจีนไปตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 และเมื่อเดือนเมษายน 2564 สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยได้มีหนังสือแจ้งการพ้นตำแหน่งของเอกอัครราชทูตหลิ่ว ก่อนครบวาระประจาการเนื่องจากปัญหาสุขภาพ 

สถานเอกอัครราชทูตจีน ให้ข้อมูลว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงเอกอัครราชทูตจีนในต่างประเทศนอกฤดูกาลอย่างกะทันหัน ซึ่งทำให้จีนต้องเริ่มการสรรหาบุคคลที่เหมาะสมนอกวงรอบการพิจารณาปกติ ขอยืนยันว่า เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม 2564 ฝ่ายจีนได้ยื่นหนังสือขอความเห็นชอบการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยคนใหม่แล้ว

กรณีมีการพาดพิงว่าทางการไทยอนุญาตให้สหรัฐ สร้างสถานกงสุลใหญ่สหรัฐ ประจำจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งใช้งบประมาณก่อสร้างมากถึง 9,000 ล้านบาท และรูปแบบโครงสร้างอาคารเป็นความลับอาจมีการติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้เป็นฐานติดตามความเคลื่อนไหวของจีนแทนสถานกงสุลใหญ่สหรัฐ ประจำนครเฉิงตู ที่ถูกปิดไปก่อนหน้านี้ นายธานีชี้แจงว่า อาคารสถานกงสุลสหรัฐ ประจำจังหวัดเชียงใหม่ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2493 และต่อมาได้รับการยกฐานะเป็นสถานกงสุลใหญ่ เมื่อปี 2529 

ต่อมาในปี 2560 ฝ่ายสหรัฐได้ขอปรับปรุงและเริ่มก่อสร้างอาคารที่ทำการแห่งใหม่ เนื่องจากที่ทำการเดิมมีพื้นที่คับแคบ ไม่ตอบสนองนโยบาย Under One Roof Policy ของรัฐบาลสหรัฐ ที่ประสงค์ให้บุคลากรทางกงสุลและหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ ในเชียงใหม่ทั้งหมดปฏิบัติงานในที่เดียวกัน และเพื่อรองรับการให้บริการกงสุลแก่คนอเมริกัน คนไทยและคนต่างชาติในภาคเหนือ โดยมีกำหนดก่อสร้างเสร็จในปี 2566 ทั้งนี้ เชียงใหม่ยังเป็นที่ตั้งของสถานกงสุลใหญ่จีน ญี่ปุ่น และอินเดียด้วย ซึ่งการตั้งสถานกงสุลต่างประเทศในไทยทุกแห่ง รวมทั้งการก่อสร้างที่ทำการอยู่ภายใต้กฎหมายไทย หลักปฏิบัติสากล กฎหมายระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐ ประกาศจะให้วัคซีนโควิด-19 ให้กับไทยจำนวน 80 ล้านโดสเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา