CPALL ขายหุ้นกู้ 6.6 หมื่นล้าน ระดมทุนรีไฟแนนซ์ดีล ‘เทสโก้ โลตัส’

CPALL ขายหุ้นกู้ 6.6 หมื่นล้าน ระดมทุนรีไฟแนนซ์ดีล ‘เทสโก้ โลตัส’

CPALL เตรียมขายหุ้นกู้ 6.6 หมื่นล้าน 11-15 มิ.ย.นี้ รีไฟแนนซ์เงินกู้ซื้อหุ้น “เทสโก้ โลตัส” ยันสภาพคล่องยังแข็งแกร่ง คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปีนี้ทรงตัวจากไตรมาสก่อน พร้อมเน้นกลยุทธ์ ”ขายออนไลน์-ดิลิเวอรี่" ฝ่าวิกฤติโควิด

นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมขายหุ้นกู้จำนวน 7 ชุด มูลค่ารวมไม่เกิน 6.6 หมื่นล้านบาท ในวันที่ 11-15 มิ.ย.นี้ โดยจะนำเงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการระดมทุนไปชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น (Bridging Loan) ที่บริษัทกู้ยืมมาจากสถาบันการเงินเพื่อใช้ในดีลการซื้อกิจการ “เทสโก้ โลตัส” 40% คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 3,000 ล้านดอลลาร์ (หรือเท่ากับ 95,981 ล้านบาท) ซึ่งการซื้อดังกล่าวโดยบริษัทย่อย คือ บริษัท ซี.พี. รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด

“การออกหุ้นกู้ในครั้งนี้เพื่อสร้างเสถียรภาพให้แก่บริษัท รวมถึงเป็นการลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และการล็อกต้นทุนอัตราดอกเบี้ย โดยการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจและการลงทุนของบริษัท และยืนยันว่าปัจจุบันบริษัทยังไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2564 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ที่ 1.64 เท่า จากเพดานที่ 2 เท่า”

162265135870

ทั้งนี้ หุ้นกู้ทุกชุดมีราคาเสนอขายต่อหน่วย 1,000 บาท โดยชุดที่ 1 จะเสนอจำนวนไม่เกิน 20 ล้านหน่วย มูลค่ารวมไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาท อายุ 5 ปี ครบกำหนดไถ่ถอน พ.ศ.2569 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปี, ชุดที่ 2 จำนวนไม่เกิน 9.5 ล้านหน่วย มูลค่ารวมไม่เกิน 9.5 พันล้านบาท อายุ 7 ปี ครบกำหนดไถ่ถอน พ.ศ.2571 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.4% ต่อปี, ชุดที่ 3 จำนวนไม่เกิน 23 ล้านหน่วย มูลค่ารวมไม่เกิน 2.3 หมื่นล้านบาท อายุ 10 ปี ครบกำหนดไถ่ถอน พ.ศ.2574 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.9% ต่อปี, ชุดที่ 4 จำนวนไม่เกิน 5 ล้านหน่วย มูลค่ารวมไม่เกิน 5 พันล้านบาท อายุ 2 ปี ครบกำหนดไถ่ถอน พ.ศ.2566 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.53% ต่อปี,

ชุดที่ 5 จำนวนไม่เกิน 5 ล้านหน่วย มูลค่ารวมไม่เกิน 5 พันล้านบาท อายุ 3 ปี ครบกำหนดไถ่ถอน พ.ศ.2567 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.76% ต่อปี, ชุดที่ 6 จำนวนไม่เกิน 8.5 ล้านหน่วย มูลค่ารวมไม่เกิน 8.5 พันล้านบาท อายุ 4 ปี ครบกำหนดไถ่ถอน พ.ศ.2568 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.14% ต่อปี และ ชุดที่ 7 จำนวนไม่เกิน 9 ล้านหน่วย มูลค่ารวมไม่เกิน 9 พันล้านบาท อายุ 12 ปี ครบกำหนดไถ่ถอน พ.ศ.2576 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.20% ต่อปี

โดยหุ้นกู้ชุดที่ 1-3 จะเสนอขายแก่นักลงทุนทั่วไป (PO) ผ่านธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารทหารไทยธนชาต, ธนาคารไทยพาณิชย์, ธนาคารยูโอบี, ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย, บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) และ บล.เกียรตินาคินภัทร ส่วนชุดที่ 4-7 จะเสนอขายแก่นักลงทุนในวงจำกัด (PP) ได้แก่ นักลงทุนสถาบัน (II) และนักลงทุนรายใหญ่ (HNW) ทั้งนี้ หุ้นกู้ของ CPALL ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ “A+” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้จากข้อมูลไฟลิ่งระบุ เงินที่ได้จากขายหุ้นกู้  แบ่งเป็น ชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้และเงินกู้ ไม่เกิน 6.5 หมื่นล้านบาท และอีก 1 พันล้านบาทจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

นายเกรียงชัย กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทแม้จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่บริษัทยังสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่อง รวมถึงกระแสเงินสดของบริษัทที่ยังเป็นบวก โดยคาดว่าในปี 2564 จะใช้งบลงทุนประมาณ 1.15-1.2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการขยายสาขาใหม่ 3.8-4 พันล้านบาท การปรับปรุงสาขาเดิม 2.4-2.5 พันล้านบาท การเตรียมพร้อมการลงทุนใหม่ 4-4.1 พันล้านบาท และการปรับปรุงศูนย์กระจายสินค้าและลงทุนระบบไอที 1.3-1.4 พันล้านบาท

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทตั้งเป้าหมายขยายสาขาร้านสะดวก “เซเว่น อีเลฟเว่น” ซื้อเพิ่มอีก 700 สาขา ซึ่งไตรมาส 1 ปี 2564 บริษัทเปิดสาขาใหม่แล้ว 155 สาขา ทำให้มีสาขารวมทั้งสิ้น 12,587 สาขา นอกจากนี้ บริษัทยังเน้นกลยุทธ์การขายผ่านออนไลน์แบบ O2O (Online to Offline) และการสั่งสินค้าแบบดิลิเวอรี่เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์โควิด-19 

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส2ปีนี้ คาดว่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เพราะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบ 3 แต่บริษัทยังมีความคาดหวังเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 เพราะคาดว่าจะฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเติบโตดีขึ้น ภายหลังการฉีดวัคซีนมากขึ้น และการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นแรงหนุนต่อกำลังซื้อของประชาชน และจะส่งผลบวกโดยตรงต่อธุรกิจค้าปลีกของบริษัท