เตือน! 'โรงงาน' ประเมินตนเองครบ 100% ภายใน15 มิ.ย.นี้

เตือน! 'โรงงาน' ประเมินตนเองครบ 100% ภายใน15 มิ.ย.นี้

ศบค.ออกมาตรการคุมเข้ม 'โรงงาน' ลงทะเบียนประเมินตนเองผ่านแอพฯ ของรัฐ ภายใน 15 มิ.ย. นี้ เน้นย้ำโรงงานขนาดใหญ่ ระบุโรงงานใดเพิกเฉย เตรียมรับโทษ

2 เดือนที่ผ่านมา 'กรมอนามัย' ได้มีการสำรวจ'โรงงาน' ที่มีการติดเชื้อใน10 จังหวัด พบว่า 'โรงงาน' ขนาดเล็ก (พนักงาน 0-50 คน) มีสถานประกอบการ 49,439 แห่ง จำนวนพนักงาน 709,417 คน 'โรงงาน' ขนาดกลาง (พนักงาน 51-199 คน) มีสถานประกอบการ 10,287 แห่ง มีพนักงาน 945,810 คน และ'โรงงาน' ขนาดใหญ่ (พนักงาน 200 ขึ้นไป) มีสถานประกอบการ 3,303 แห่ง จำนวนพนักงาน 1,811,255 คน รวมแล้วมีสถานประกอบการทั้งหมด 63,029 แห่ง มีพนักงาน 3,466,482 คน

พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) กล่าวว่า จากการสำรวจ พบว่า'โรงงาน'ขนาดใหญ่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมาก โดยปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการแพร่เชื้อ คือ ความแออัด ที่พักคนงานมีการระบายอากาศไม่ดี มีจุดสัมผัสที่ไม่สะอาด รวมถึงมีพฤติกรรมที่มีการทำกิจกรรมร่วมกัน  เช่น รับประทานอาหารร่วมกัน 

โดยการวิเคราะห์พบว่า 20% เป็นการติดเชื้อในโรงงานขนาดใหญ่ ส่วน 5% ติดเชื้อในโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็ก

  • 15 มิ.ย.โรงงานต้องประเมินตนเองครบ 100%

ทั้งนี้ 'กรมอนามัย' ได้รายงานว่ามี 'โรงงาน' ที่ลงทะเบียนกับกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้งหมด 63,029แห่ง และมีโรงงานที่ผ่านการประเมินตนเองผ่าน Thai Stop COVID Plus ของกรมอนามัย  หรือการประเมินของกระทรวงอุตสาหกรรมเพียง 20% หรือเพียงประมาณ 2,800 'โรงงาน'ที่เข้าไปประเมินตนเอง โดยในส่วนของโรงงานขนาดใหญ่ มีเพียง 650 โรงงาน จาก 'โรงงาน'ขนาดใหญ่ 3,303 แห่ง ที่มีการประเมินตนเอง  

ภายใน 15 มิ.ย. 2564 โรงงานขนาดใหญ่ทุกแห่งต้องประเมินตนเองและทำให้ครบ 100% และการประเมินตนเองขอให้ตอบตามความเป็นจริง ซึ่งถ้าไม่ผ่านเกณฑ์ จะมีทีมงานลงไปช่วยเป็นพี่เลี้ยงเพื่อช่วยดูแล ช่วยปรับให้ผ่านการประเมินทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดดีขึ้น โรงงานปลอดภัย  ส่วนโรงงานที่เพิกเฉย และไม่ประเมินตนเอง จนทำให้เกิดการติดเชื้อ จะมีการพิจารณาบทลงโทษ”พญ.อภิสมัย กล่าว

  • ย้ำประชาชนดูแลตัวเอง หลังพบผู้เสียชีวิตภายในสัปดาห์แรก

รายงานสถานการณ์ผู้ติดเชื้อรายใหม่ประจำวันว่า พบผู้ป่วยใหม่ 3,440 ราย แบ่งเป็น ติดเชื้อในประเทศ 2,338 ราย ติดเชื้อจากต่างประเทศ 15 ราย และติดเชื้อจากเรือนจำ 1,087 ราย ทำให้มียอดผู้ป่วยยืนยันสะสม 136,599 ราย และมีผู้เสียชีวิต 38 ราย คิดเป็น 0.74% ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 1,013 ราย   

ผู้ที่รักษาในรพ.จำนวน 49,777 ราย มีอาการหนัก 1,247 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 381 ราย ส่วนยอดฉีดวัคซีนแล้ว 3,753,718 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 สะสม 2,591,372 ราย และเข็มที่ 2 สะสม 1,162,346 ราย  และมีการจัดส่งวัคซันแอสตราเซเนก้า ไปอีก 2 แสนโดส และซิโนแวคอีก 7 แสนโดสภายในวันนี้

สำหรับการรายงานผู้เสียชีวิต 38 ราย  มีจังหวัดกรุงเทพมหานคร 18 ราย สมุทรปราการ 4 ราย ชลบุรี ปทุมธานี  จังหวัดละ 3 ราย  ฉะเชิงเทรา นนทบุรี สุราษฎร์ธานี จังหวัดละ 2 ราย พระนครศรีอยุธยา ร้อยเอ็ด ราชบุรี และอุดรธานี จังหวัดละ 1 ราย โดยปัจจัยเสี่ยงต่อความรุนแรงของโรคได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคปอด หลอดเลือดสมอง มะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต โรคอ้วน โรคตับ SLE ไม่มีโรคประจำตัง และปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ได้แก่ คนในครอบครัว อื่นๆ เพื่อนบ้าน คนดูแลบ้าน รพ.เพื่อน อาศัยหรือเดินทางไปในพื้นที่ระบาด อาชีพเสี่ยง อย่าง ค้าขาย ขับรถประจำทาง แท็กซี่ รปภ. ไปในที่คนหนาแน่น ตลาด รพ. และระบุไม่ได้ชัดเจน

ในจำนวนผู้เสียชีวิตดังกล่าว พบว่ามีผู้เสียชีวิต 8 ราย ที่เสียชีวิตภายในสัปดาห์แรก หรือตั้งแต่วันแรกที่ได้รับการยืนยันผลติดเชื้อ สะท้อนให้เห็นว่าหลายครั้งผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่ามีอาการเจ็บป่วย โดยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มผู้ขับรถประจำทาง แท็กซี่ รปภ. และค้าขาย หรือมีการเดินทางไปสัมผัสพื้นที่เสี่ยง นั่นคือ ตลาด อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้ปัจจัยสัมผัสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ จะทำให้ประชาชนทุกคนเฝ้าระวังให้มากยิ่งขึ้น