WEALTHI แอพฯสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์น้องใหม่โชว์ยอดปล่อยกู้แตะ 300 ล้าน

WEALTHI แอพฯสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์น้องใหม่โชว์ยอดปล่อยกู้แตะ 300 ล้าน

WEALTHI ลุยปล่อยสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ มีผู้ใช้บริการแล้วกว่า 10,000 ราย ยอดปล่อยสินเชื่อหมุนเวียนมากกว่า 300 ล้านบาทต่อปี เผยปัจจุบันประเทศไทยมีกลุ่มผู้มีรายได้น้อยมากกว่า 14 ล้านคน เชื่อหากช่วยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนจะช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำได้

นายธวัชชัย อิงบุญมีสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ก่อตั้ง บริษัท เวลธิเทคฟิน จำกัด ผู้ให้บริการสินเชื่ออเนกประสงค์ผ่านแอปพลิเคชั่น “WEALTHI” หรือ เวลธ์ติ ที่ได้รับใบอนุญาตแก้ปัญหาสินเชื่อรายย่อย หรือ พิโกไฟแนนซ์ จากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าหลังจากที่บริษัทได้รับใบอนุญาตแก้ปัญหาสินเชื่อรายย่อย หรือ พิโกไฟแนนซ์ จากกระทรวงการคลังในเดือนพฤศจิกายน 2560 บริษัทฯได้ดำเนินการให้บริการสินเชื่อการเงินอเนกประสงค์ผ่านแอปพลิเคชั่น “WEALTHI” โดยมีเป้าหมายให้ความช่วยเหลือผู้คนในวงกว้าง โดยเฉพาะประชาชนทั่วไปที่เข้าไม่ถึงแหล่งทุนให้สามารถเข้ามาอยู่ในระบบได้ หลังจากที่เริ่มเปิดให้บริการจนถึงปัจจุบันพบว่าแอปพลิเคชั่น WEALTHI ได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาด ล่าสุดมีผู้ใช้บริการแล้วมากกว่า 10,000 ราย มียอดสินเชื่อหมุนเวียนมากกว่า 300 ล้านบาทต่อปี

โดยสินเชื่อของ WEALTHI นั้น จะให้วงเงินสูงสุด 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (EFFECTIVE RATE) 15-36% ต่อปี มีขั้นตอนการทำงานรวดเร็วอนุมัติเบื้องต้นใน 5 นาที และรอรับเงินภายใน 48 ชั่วโมง สำหรับคุณสมบัติของผู้กู้นั้นต้องเป็นผู้ประกอบอาชีพทั้งแบบมีรายได้ประจำและอาชีพอิสระ ,เป็นบุคคลสัญชาติไทย มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เมื่อรวมอายุของผู้กู้กับระยะเวลาที่ชำระเงินกู้ ต้องไม่เกิน 65 ปี ,มีถิ่นที่อยู่แน่นอน ,มีสถานที่ประกอบอาชีพ สามารถติดต่อได้ ,มีสมาร์ตโฟน (ระบบ Android และ iOS) และต้องมีบัญชีเฟซบุ๊ก ส่วนเอกสารประกอบการกู้มีเพียงสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ,สำเนาทะเบียนบ้าน ,เอกสารแสดงรายได้ในการประกอบอาชีพ ,สมุดบัญชีเงินฝาก และสำเนาหน้าสมุดบัญชีที่จะใช้ในการรับเงิน

สำหรับจุดเด่นของ WEALTHI ที่แตกต่างจากผู้ให้บริการทั่วไปคือการพัฒนาระบบการให้คะแนนเครดิตโดยใช้ข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) เช่น ข้อมูลบนสมาร์ตโฟน มาประเมินความเสี่ยงเพื่อให้บริการแก่ผู้ที่ต้องการความสะดวกและลดความยุ่งยากในการสมัครขอสินเชื่อ ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และลดระยะเวลาในการสมัคร อนุมัติรวดเร็วด้วยการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล โดยดำเนินการตามหลักการที่ถูกต้องตามกฎหมายในกระบวนการแก้ปัญหาให้กับผู้ไม่มีประวัติทางด้านการเงินที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบ โดยจากข้อมูลที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ได้ทำการสำรวจไว้พบว่ามีคนไทยประมาณ 14 ล้านคนที่ลงทะเบียนในโครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย คิดเป็นจำนวน 20% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาและความก้าวหน้าของประเทศไทย ดังนั้นหากมีช่องทางช่วยเหลือให้ประชาชนกลุ่มนี้เข้าถึงแหล่งเงินทุนก็จะเป็นการช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้อีกทางหนึ่ง