นายกฯตรวจเยี่ยมจุดฉีดวัคซีนเอกชน ปูพรมเข็มแรก จ่อใช้โมเดลนี้ในตจว.

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พร้อมคณะ ประกอบด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานหอการค้าไทย และผู้เกี่ยวข้องจากหลายภาคส่วน ตรวจเยี่ยมหน่วยความร่วมมือบริการวัคซีนโควิด - 19 โดยกรุงเทพมหานคร สภาหอการค้าไทย โรงพยาบาลรามาธิบดี ที่บริเวณชั้น 3 sky hall ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว  ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ โดยมีพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม. ผู้บริหารสำนักอนามัย สำนักการแพทย์ ผู้บริหารโรงพยาบาลรามาธิบดี ผู้บริหารกลุ่มเซ็นทรัลกรุ๊ป ให้การต้อนรับ

ในส่วนของหน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 แห่งนี้เป็น 1 ใน 14 หน่วยให้บริการโดยความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานคร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และโรงพยาบาลรามาธิบดี สามารถให้บริการ ได้1,000 คน ต่อวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. กลุ่มเป้าหมายแรกของการให้บริการเป็นกลุ่มบุคลากรด่านหน้า ที่ต้องปฏิบัติงานในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคและกลุ่มที่มีอาชีพเสี่ยงที่มีโอกาสสัมผัสกับคนจำนวนมากซึ่งได้รับการลงทะเบียนกับสำนักอนามัย กทม. แล้ว

นอกจากนั้น ยังมีการจัดเตรียมสถานที่ฉีดวัคซีนของภาคเอกชนเพื่อให้บริการนอกโรงพยาบาล14 แห่ง ได้แก่ 1.เซ็นทรัล ลาดพร้าว ร่วมกับโรงพยาบาลรามาธิบดี 2. เซ็นทรัลปั่นเกล้า ร่วมกับโรงพยาบาลวชิรพยาบาล 3. ไอคอนสยาม ร่วมกับโรงพยาบาลศิริราช 4. ทรู ดิจิทัล พาร์ค ร่วมกับโรงพยาบาลศิริราช 5. สามย่านมิตรทาวน์ ร่วมกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 6. เอสซีจี บางชื่อ ร่วมกับกรมการแพทย์ 7. เดอะมอลล์ บางกะปิ ร่วมกับโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี 8. เดอะมอลล์ บางแคร่วมกับมหาวิทยาลัยสยาม โดยคณะแพทยศาสตร์และคณะพยาบาลศาสตร์ 9. ธัญญาพาร์คร่วมกับโรงพยาบาลเครือบางปะกอก 10.เอเชียทีค ร่วมกับโรงพยาบาลเครือบางปะกอก1 11.โรบินสัน ลาดกระบัง ร่วมกับโรงพยาบาลเครือบางปะกอก 12.โลตัส มีนบุรี ร่วมกับโรงพยาบาลเครือบางปะกอก 13. บิ๊กซี บางบอน ร่วมกับโรงพยาบาลเครือบางปะกอก และ 14. PTT Station พระราม 2 ร่วมกับโรงพยาบาลเครือบางปะกอก

ทั้งนี้ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยได้เสนอสถานที่ฉีดวัคซีนเพิ่มเติมอีก 11 แห่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการเตรียมพร้อมอุปกรณ์และบุคลากร โดยสำนักอนามัยจะลงพื้นที่ตรวจความเรียบร้อยเพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์ มาตรฐานที่กำหนด และเมื่อสามารถเปิดให้บริการ"หน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19

กรุงเทพมหานคร-หอการค้าไทย"ในพื้นที่กรุงเทพมหานครได้ครบทั้ง 25 แห่ง แต่ละแห่งจะมีศักยภาพการให้บริการฉีดวัคซีนอยู่ที่ 1,000-3,000 คนต่อวัน รวมสามารถให้บริการได้ 38,000-50,000 คนต่อวัน ทุกแห่งจะเปิดให้บริการต่อเนื่องเป็นเวลา 7 เดือน เพื่อให้การบริการวัคซีนเป็นไปอย่างทั่วถึง รวดเร็วและปลอดภัยสำหรับประชาชนสูงสุด

อย่างไรก็ตาม นายกฯ กล่าวว่า พบว่ามีความพร้อมเต็มที่ในการให้บริการประชาชน ทุกแห่งเดินทางสะดวก ปลอดภัย ถูกสุขอนามัย โล่งโปร่ง ไม่แออัด จัดระบบการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพบริการได้รวดเร็ว ขอขอบคณุคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) ทั้ง3สถาบันได้แก่สภาหอการค้า สภาอตุสาหกรรมและสมาคมธนาคารไทย ที่เสนอตัวเข้ามาช่วยกระจายวัคซีนสู่ประชาชนรวดเร็วและทั่วถึงยิ่งขึ้น

นายกฯ กล่าวว่า ตามเป้าหมายเดือนมิ.ย.นี้ ปูพรมระดมฉีดเข็มแรกเพราะการ ฉีดเพียงเข็มแรกก็ช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อ ลดความรุนแรงของอาการได้มาก รัฐบาลมีเป้าหมายให้คนไทยทุกคนได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิดอย่างรวดเร็ว เดือนพ.ค.นี้กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขได้ฉีดเกือบครบทุกคนแล้ว เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้บุคลากรด่านหน้ารวมทั้งยังได้เร่งระดมฉีดให้กล่มุเฉพาะกิจในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดสูง เช่น จ.สมุทรสาคร ชุมชนคลองเตย เพื่อจำกัดวงแพร่ระบาดและตั้งเป้าเดือนมิ.ย.นี้จะเร่งเครื่องปูพรมระดมฉีดเข็มแรกให้กลุ่มผู้มีความเสี่ยงสงู ได้แก่ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป หรือกลุ่มผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรคเรื้อรังจากนั้นจะเร่งฉีดให้ ประชาชนทั่วไปทันที

นายกฯ กล่าวอีกว่า ตนยังห่วงกลุ่มคนทำงานที่มีความจำเป็นต้องเดินทางบ่อย หรือพบปะคนจำนวนมาก เช่นพนักงานส่งของ ผู้ขับรถสาธารณะ พนักงานขายร้านสะดวกซื้อ พนักงานบริการในร้านอาหาร พนักงานในภาคการท่องเที่ยวและโรงแรมหรืออยู่ในภาคธุรกิจที่มีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจของประเทศ ตั้งแต่เดือนมิ.ย.เป็นต้นไปรัฐบาลจะร่วมมือกับภาคเอกชนเตรียมฉีดแก่คนกลุ่มนี้ให้เร็วขึ้น เปิดให้องค์กรต่างๆ จัดสรรพนักงานที่มีความเสี่ยงทยอยรับบริการได้ที่หน่วยฉีดทุกแห่ง ทั้งในโรงพยาบาลและศูนย์ฉีดวัคซีนเอกชน

"ปัจจุบันมีศูนย์ฉีดวัคซีนเอกชนแล้ว14ศูนย์ที่พร้อมให้บริการและจะเพิ่มเป็น25ศูนย์ในเร็วๆนี้และจะขยายโมเดลนี้ไปจังหวัดอื่นๆ ต่อไป" นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวอีกว่า ยืนยันการจัดหาวัคซีน ขอให้ทุกท่านไม่ต้องกังวลใจ รัฐบาลจัดหาให้เพียงพอและทั่วถึงคนไทยทุกคว รวมทั้งชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในไทย เพิ่มจาก100 ล้านโดสเป็น150ล้านโดส ซึ่ง 100ล้านโดสแรกรัฐบาลได้เจรจากับผู้ผูลิตแล้ว โดยวัคซีนล็อตใหญ่ของแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทยจะส่งมอบได้สิ้นเดือนพ.ค.นี้ ส่วนของผ้ผูลิตรายอื่นๆจะทยอยจัดส่งมา รัฐบาลจะร่วมมือกับทุกฝ่ายทำงานแข่งกับเวลาเพื่อปกป้องคนไทยทุกคนให้พ้นจากโควิด เพราะ สถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อาจมีสายพันธุ์ใหม่ที่มีความรุนแรงมากขึ้น

"การฉีดวัคซีนจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสในการติดเชื้อและลดความรุนแรงของอาการ เราจึงต้องเร่งฉีดให้เร็วที่สุดและจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้การฉีดเป็นไปอย่างรวดเร็วและทั่วถึงตามเป้าหมาย จึงขอเชิญชวนทุกคนมาฉีดวัคซีนโควิด เพื่อให้ประเทศไทยพ้นวิกฤติ และฟื้นฟูศรษฐกิจให้ เข้มแข็งอีกครั้ง" นายกฯ กล่าว

ด้าน ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกทม. กล่าวว่า ขณะนี้วัคซีนกำลังทยอยจัดสรรให้เพียง โดยวันนี้จึงมีการฉีดให้กับ กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ด่านหน้า อาสาสมัคร จิตอาสา ที่ทำงานเกี่ยวกับการบริการโควิด โดยตรง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่ต้องให้บริการประชาชน  จึงได้มีการจัดสรรวัคซีนไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และนำมาฉีดในวันนี้ ส่วนกลุ่มอาชีพเสี่ยง ประกอบด้วย คนขับรถสาธารณะ แท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เจ้าหน้าที่ประจำท่าอากาศยานดอนเมือง ทั้งลูกเรือ กัปตัน ฟรอนไลน์ การไฟฟ้านครหลวงการประปานครหลวง การท่าเรือ เจ้าหน้าที่พนักงานกวาดประจำ 50 สำนักงานเขต พนักงานเก็บขยะ กทม. ครู และบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่กรุงเทพฯ ขณะนี้สำนักอนามัย มีรายชื่อทั้งหมดแล้ว เพียงแต่รอการจัดสรรวัคซีนเท่านั้น ทันทีที่วัคซีนมาถึงจึงจะแจ้งให้มารับวัคซีนได้

"ระหว่างนี้กลุ่มที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน ยังไม่ต้องมาที่จุด ให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 นอกโรงพยาบาล หากวัคซีนมาถึงแล้ว กทม.จึงจะแจ้งให้ทราบ เพื่อนัดมาฉีดวัคซีนต่อไป  อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือประชาชนที่ไม่ได้ลงทะเบียนกับกลุ่มเป้าหมายของสำนักอนามัย งดเว้นเดินทางมายังจุดให้บริการดังกล่าว เพื่อความปลอดภัยของทุกท่านและช่วยให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อยสำหรับประชาชนทั่วไปขอให้ติดตามความคืบหน้าการเปิดลงทะเบียนจองฉีดวัคซีนต่อไป"โฆษก กทม.กล่าว