TTB ชู3กลยุทธ์ หนุนธุรกิจแกร่ง เร่งช่วยลูกค้าฝ่าโควิดระลอก3

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทยธนชาต (ttb) เปิดเผยว่า  เชื่อว่าการรวมกิจการระหว่างสองธนาคาร คือ ธนาคารทหารไทย (TMB) และธนาคารธนชาต จะเสร็จในวันที่ 5 ก.ค.นี้ตามแผนที่ธนาคารตั้งเป้าหมายไว้

“เรากล้าพูดได้เต็มปากว่า ตั้งแต่ 1พ.ค. เราทั้งสององค์กรได้รวมกันเป็นหนึ่งองค์กรแล้ว ทั้งนี้ การรวมกิจการสองธนาคาร เราไม่ได้ต้องการเป็นแค่ธนาคารใหม่ แต่ต้องการทำสิ่งใหม่ ซึ่งมาพร้อมกับสัญญาลักษณ์ใหม่ องค์กรใหม่ด้วย จุดมุ่งหมายของเราคือ ช่วยให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น และพนักงานกว่า 1.6 หมื่นคนของเรา ต้องก้าวข้ามการเสนอสินค้าและบริการไปสู่การตอบโจทย์ที่ตรงใจลูกค้าผ่านมากขึ้น ผ่านโซลูชั่นทางการเงิน เพื่อตอบโจทย์ทุกช่วงชีวิตให้ดีขึ้น”

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจปีนี้ของธนาคาร คือการมุ่งดูแลลูกค้าเดิมที่มีอยู่กว่า 10 ล้านคน เพื่อช่วยให้ลูกค้าแข็งแกร่งมากขึ้น เพราะปีนี้ถือเป็นปีที่ยากลำบาก ภายใต้ความเปราะบางจากวิกฤติโควิด-19 ดังนั้นเป้าหมายของธนาคาร จะไม่ใช่มุ่งหาลูกค้าใหม่ แต่จะดูแลลูกค้าเก่าทุกกลุ่มให้มากที่สุด  โดยผ่านทุกมาตรการที่มีอยู่ ทั้งสินเชื่อฟื้นฟู พักทรัพย์ และดูแลพอร์ตรอยย่อย เพื่อช่วยให้ลูกหนี้มีภาระที่ลดลง และผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19ไปได้

อย่างไรก็ตาม หากดูการช่วยเหลือลูกหนี้ในอดีต จากวิกฤติโควิด-19 พบว่าธนาคารมีการช่วยเหลือลูกหนี้ทุกกลุ่มไปแล้ว 7.5 แสนคน โดย 90% เมื่อพ้นล็อกดาวน์รอบแรก ก็สามารถกลับมาชำระหนี้ปกติได้ ขณะที่รอบนี้เชื่อว่าน่าจะมีทิศทางดีกว่ารอบแรก ในเชิงความเดือนร้อน เพราะเศรษฐกิจยังเดินหน้าได้  แม้สภาพคล่องของธุรกิจลดลง

ดังนั้นการเข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้ในอนาคตคงไม่ใช่มาตรการแบบเดิม ที่เน้นช่วยทุกคน แต่จะเฉพาะเจาะจง และเน้นช่วยลูกค้าให้ตรงจุดมากขึ้น

นายประพันธ์ กล่าวว่า ปัจจุบันธนาคารอยู่ระหว่างการเร่งการรวมสาขา เอทีเอ็ม เป็นหนึ่งเดียว ภายใต้ “TTB” โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในสิ้นเดือนมิ.ย.นี้ รวมไปถึงระบบการเชื่อมต่อไอที การเชื่อมผลิตภัณฑ์ด้านเงินฝาก เครดิตการ์ด หรือการเชื่อมข้อมูลลูกค้าบนดิจิทัลแบงกิ้ง ปัจจุบันได้ผ่านการทดสอบเชื่อมระบบไปแล้ว 3ครั้ง และมีแผนทดสอบครั้งสุดท้ายในปลายเดือนพ.ค.นี้ เพื่อลดข้อบกพร่องต่างๆ และทำให้เกิดความเชื่อมั่น และมั่นใจในการรวมกิจการมากขึ้น

“เราเหลือเวลาอีกเพียงในการควบรวมเดือนครึ่ง จากการทำงานอย่างหนักมาในช่วงที่ผ่านมา เรามีการปรับปรุงกระบวนการต่างๆ ทำให้แผนที่เราวางไว้ไม่สะดุด ดังนั้นช่วงเวลาอีกเดือนครึ่ง เพื่อรวมสองธนาคารเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้ One Teamเพื่อสานต่อ One Dream เราพร้อมแล้วจริงๆเพื่อช่วยให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งวันนี้และอนาคต”